4 Pillar of SEO Main Tasks
การทำ SEO จะแบ่งงานเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
- On-Page SEO
- Off-Page SEO
- Technical SEO
- Content Marketing
สำหรับองกรณ์ ที่ทำงานด้านการจัดการ SEO ที่ต้องมีทีม หรือเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลการทำ SEO ทั้งหมด จะถูกแบ่งสายงานการทำ SEO ใน 4 Pillars นี้ โดยในทีม SEO 1 Team จะประกอบไปด้วย
1. SEO Manager
2. SEO Analyst
3. SEO Developer
4. SEO Content
หากองกรณ์มีขนาดเล็ก ก็จะหาคนที่เป็น SEO Specialist มา 1 คน เพื่อดูแลจัดการ กระบวนการทำ SEO ทั้ง 4 Pillars นี้ได้อีกด้วย
สิ่งที่ต้องติดตามและดำเนินงาน ให้เราเข้าไปศึกษา เกี่ยวกับ Periodic Table of SEO Elements ที่นำเสนอโดย Search Engine Land ได้เลย
SEO Contribution of 4 Pillars
กระบวนการทำ SEO ในมาตรฐานของ Search Monopoly จะมีการแบ่งสัดส่วนดังนี้
กระบวนการทำงาน SEO (Search Engine Optimization) จะแตกออกเป็นกระบวนการย่อยๆได้ 6 ขั้นตอนหลัก โดยรวมในส่วนเหล่านี้
1. กระบวนการวิจัย
2. กระบวนการวางแผน และการวางกลยุทธ์
3. กระบวนการดำเนินการ
4. การบวนการติดตามผลงาน และ วัดค่า
5. กระบวนการตรวจสอบ เก็บผลสัมฤทธิ์
6. กระบวนการรักษาสภาพให้ดำรงอยู่
วิธีการ แบบกว้างๆ ของการทำ SEO และ SEM รวมทั้ง Metrics ที่ใช้งาน
การทำ SEO ในรูปแบบของ Search Monopoly จะต้องทำผสมผสานกับการปรับ Search Engine Marketing เข้าไป ให้เรียนรู้ เรื่อง "Search Engine Marketing" ภาพรวมก่อน และ เรียนรู้การทำ PPC ของ Google AdWords ร่วมด้วย
การทำ Keyword Research
โดยคร่าวๆแล้ว ทั้งการทำ SEO และ SEM ต้องเริ่มต้นด้วยการทำ Keyword Research และการวิเคราะห์ Keywords เพื่อความเหมาะสมของธุรกิจนั้นๆ โดยได้รวมนำ 3 Steps เข้าด้วยกัน เพื่อให้แน่ใจว่า เว็บไซต์ของเราจะติด Index ใน Google หรือ Search Engine ต่างๆ และให้ค้นหา คำค้น หรือเราเรียกว่า Keyword ที่ใกล้เคียงและตรงกลุ่มธุรกิจของเรา และกลุ่มคำค้นหา ที่เกี่ยวข้องที่เป็นที่นิยม ในที่นี้เราอาจใช้ทั้ง keyword กว้างๆ และ คำที่ตรงจุดไปเลยก็ได้ สำหรับสินค้า และ ลงคำพวกนี้ไว้ในเว็บไซต์ของเราอย่างถูกหลักการ โดยใช้ชุด keyword พวกนี้สร้าง Traffic เข้าเว็บ ได้อย่างตรงกลุ่มและทำให้ คนที่เข้ามาเว็บไซต์ของเรา Convert หรือหมายถึงเข้ามาซื้อสินค้าในเว็บของเรา โดยในนี้ที่เราควรเรียนรู้คำว่า "Search Perception Impact" โดยมันต้องมี Impact ไปสู่ Brand ไปสู่ Customer Perception (ซึ่งได้กล่าวใน Customer Retention)
การใส่คำค้นหา ให้คิดให้ดี โดยเราจะใส่ใน Title Tage และ Meta Tag ต่างๆ รวมทั้ง Site Indexing โดยใช้ คำค้นที่เรา Focus ทาง Search Monopoly จะมีหลักการทำ Keyword Mapping ที่เรียกว่า Targeting Keyword อันนี้ ได้ประสบการณ์ ที่ทำงานกับ กลุ่มรับทำ SEO ขนาดใหญ่ของต่างประเทศ ก็จะใช้หลักการนี้ โดยยังคงแนวทางของการวาง Silo Page โดยส่วนใหญ่ ประเทศไทย ไม่ค่อยทำตรงนี้เพราะทำยากและเสียเวลา แต่ผลลัพธ์กลับยั่งยืนและเติบโตได้ดีกว่า
การค้นหาใน Google จะเป็นจุดแรกของ Potential Customer โดยการค้นหาที่เข้าใจหลักการของ Search Perception Impact จะมีผลอย่างมากต่อ Brand ในแต่ละธุรกิจ
การกระจายข้อมูล หรือทำให้เป็นที่นิยม
หรือการวางให้เว็บไซต์ เป็นที่จัดแสดงบนหน้าเว็บ Search Engine โดยเฉพาะใน Google เราสามารถ วิเคราะห์ โดยนับจำนวนของหน้าเพจ หรือจำนวนของเว็บที่ติดใน Index ใน Search Engine เราจะเรียกมันว่า Saturation และส่วนสำคัญที่คนส่วนใหญ่ ทำไม่เป็นและทำผิดๆ คือเรื่องของการทำ Backlink หรือการสร้าง Backlink เพื่อพัฒนา Popularity ซึ่งตรงนี้เอง เราต้องการหน้าเว็บเพจที่บรรจุไปด้วย คำค้นหา ที่ใกล้เคียงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา และต้องมั่นใจด้วยว่ามันทำอันดับได้ดีใน Google โดยส่วนใหญ่แล้ว ใน Search Engine จะรวบรวม รูปแบบของการผูกเชื่อม Link เข้าไปสู่การคำนวณของการทำ อันดับ (Google Ranking) หรือ ใน Google Algorithm และส่วนที่ตามมา คือ เครื่องมือที่เราจะไปวัดค่าของการกระจายตัวของเว็บเพจ และ จำนวนของ Link ที่มีคุณภาพ ซึ่งบอกได้เลยว่า สร้างยาก และแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมือใหม่ โปรดระวังการทำงานในส่วนนี้ หากไม่มีความเชี่ยวชาญ
เครื่องมือสำหรับระบบหลังบ้าน
Back End Tools รวมถึง Web Analytics หรือพวก เครื่องมือ ตรวจสอบค่า HTML เพื่อคงคุรภาพของหน้าเว็บเพจ ได้แสดงข้อมูลสำหรับ คนเข้าเว็บ และทำให้เว้บไซต์ของเราสามารถวัดค่าความสำเร็จของธุรกิจได้ โดยเครื่องมือเหล่านี้จะมีหลายตัวให้ใช้งาน เช่นพวกการวัด Stat ง่ายๆ ในแบบการวัด จำนวนคนเข้าเว็บ จนไปถึงเครื่องมือที่ใช้เฉพาะทางอย่างเชี่ยวชาญ สำหรับแต่ละหน้าเว็บเพจ ที่มีมูลค่าทางธุรกิจจริงจัง เช่นพวก Tagging ต่างๆ โดยเราอาจนำ JavaScript ไปวาง หรือพวก image on page เพื่องาน Tracking โดยเครื่องมือเหล่านี้ จะนำมาซึ่งข้อมูลการวัดผลที่เป็น conversion หรือยอดขาย หากทำถูกวิธี จะทุ่นแรงการทำธุรกิจได้มาก แต่ถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็อาจจะใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยเครื่องมือทั่วๆไป EBSCO ที่เราเห็นบ่อยๆ อาทิ
- (A) LOG File โดย WebTrend ของ NetiQ,
- (B) Tag-Based Analytics เช่น WebSideStory's Hitbox และ
- (C) Transaction-Based เช่น Tealeaf Realitea
ส่วนพวก Validators Check สำหรับตรวจสอบการแสดงผลที่ดีของหน้าเว็บเพจ หรือพวกเครื่องมือที่ช่วย Highlight ปัญหา สำหรับ Usability และการเช็คว่าเว็บ ควบคุมคุณภาพ W3C หรือไม่ ไว้ตรวจสอบการทำงานของนักพัฒนาเว็บไซต์ไปด้วยว่าได้ของคุณภาพดี หรือได้เว็บแย่ๆ ที่ฟันราคากันแพงๆ เราสามารถตรวจสอบมาตรฐานพื้นฐานตรงนี้ได้ด้วยเครื่องมือเหล่านี้
ควรรู้จัก Whois หรือ Domain Tool
Whois จะเป็นเครื่องมือพิเศษ ที่นักทำ SEO ชอบมากๆ โดยมันจะแสดงค่าที่มีประโยชน์ และ ให้ในเรื่องของ Copyright หรือ Trademark อันนี้เป็นเครื่องมือ reverse engineering ชั้นดีของพวกนักทำ SEO ระดับมืออาชีพ
กลุ่มงาน UX และ Mobile Friendly
งานส่วนสุดท้าย คือพยายามทำเว็บให้มีการใช้งานทาง Mobile ได้อย่างดี ตอบสนองกับ Screen เล็กๆ และทำเงินได้ อันนี้ต้องใช้ทักษะชั้นสูง ทาง SEO จะมีเครื่องมือสำหรับ Check การใช้งานต่อเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีรายงานในส่วนของ Mobile-Friendly Design ซึ่งควรต้องหา นักพัฒนา UX มืออาชีพมาร่วมงาน
[TABS_R id=1445]