ตั้งแต่ทำ site structure และเล่น Schema SEO มาสักพัก ทำให้พอเข้าใจการทำงานของ Micro Moments และ การทำอันดับของ search engine ในยุคนี้ หลังจากที่ทดลอง ลอง Test Thin content แบบที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะดันไปติด index จำนวนมากๆ แล้ว search query จำนวนมากๆเข้าออกมา หรือที่สมัยก่อนๆ เราเรียกว่า การ ปั๊ม index. หรือบางเจ้าก็เรียน spam SERP. อันนี้ เป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการทำ SEO – เนื่องจาก ยุคนี้ UX และ การใช้งาน ที่ต้องมาก่อน อย่าทำให้ รูปแบบ อัตตราการใช้งานที่มีคุณภาพของเราเสียของลงไป
Google Search Engine นั้นจับพฤติกรรม รูปแบบ การทำ Index บน SERP ที่ ไร้คุณภาพได้ครับ ถ้าไม่โดนกับตนเอง ไม่มีทางรู้ได้เลย ตอนนี้ หัวของ Impression ของผม เริ่มกระดกลงแล้ว เพราะมี Pattern ของ Thin Content ที่ติดหน้าแรกๆ มากเกินไป.
แนะนำว่า ให้ระวังการจัดทำ เนื้อหา ควรจะสมบูรณ์ระดับนึงก่อนครับ แล้วจึงนำไปให้ติด Index.
แนะนำอีกเรื่องนึง ให้ใช้การระบุ Internal Links ให้มีคุณภาพ อย่าวางมั่วแบบเมื่อก่อน Google Search Engine เริ่มมองเห็นพฤติกรรม Link Farming หรือการเล่น Exact Keyword – Anchor Text Link ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำเนื้อหา สร้างมาให้คนอ่านนั่นแหละดีกว่า
เดี๋ยวนี้ต้องมีการ ทำการบ้านเยอะๆ คนอ่าน ยิ่งเอาใจยากขึ้นทุกวี่วัน ให้โบนัส จากการอ่านของเขา ด้วยการปล่อยของ เจ๋งๆ ที่หาไม่ได้ที่ไหน ให้เขาได้ลองใช้งาน และ ติดใจ website ของเรา มากขึ้นเรื่อยๆ การใช้งาน ซ้ำๆ แม้จะมีรูปแบบ การ Bounce ออก แต่เกิด Re-visited ตาม Cookie ที่จับได้ นั่นหมายความว่า SEO เรา เสถียรมากยิ่งขึ้น
ไม่แปลกเลยว่า ทำไม คนที่ทำ โฆษณา Google AdWords หรือพวก AdWords Agency มักออกตัวอย่างแรงเลยว่า ยิ่งซื้อ Keyword ใน Google มากเท่าไหร่ โอกาสยิ่งติด Search Engine มากขึ้นไปเท่านั้น หรือไม่ก็ Google ให้คะแนน พิศวาส สำหรับคนที่ ซื้อโฆษณากับ Google AdWords ใช่ไหมหล่ะ ??
แท้จริงแล้ว ไม่ใช่แบบที่คุณคิดแม้แต่น้อย
แต่ถามว่า Google AdWords ซื้อแล้ว ทำไม Rank ขึ้นเร็วหล่ะ ?
อันนี้ มีคำตอบแบบ เข้าใจ อ้อมๆ ครับ — การซื้อ โฆษณา Google AdWords ทำให้ Google เข้าใจพฤติกรรม การใช้งาน และเข้าใจว่า Page นั้น มีคุณภาพ ทำตลาดหรือทำกำไรได้ อย่างไรเสีย Google ก็วัดใจสักระยะ เพราะมันเริ่ม Research ปัจจัยเรื่อง AdRank ด้วย แต่อย่าลืมว่า Google ไม่ได้ อยากจะให้ใครได้ที่ 1 ใน Organic ด้วยการผูกขาด เขาแค่เอาคุณมาเป็น variants ในการทำ Research Usability ของ Google Search Result Page เท่านั้นเองครับ ฉะนั้น อย่าดีใจไปเลย
เทพๆ SEO หน่อย ที่ไม่เจียดเงินเสียค่า AdWords สักกะบาท ก็ใช้วิธีการ Scrape หรือ ลอง Hack แนวทางการวาง UX / Layout และ Test Content ของคู่แข่งที่จ่าย AdWords เยอะๆ แล้วลอง Index ดูเลย (Solution นี้ วิชามาร อย่านำไปใช้นะครับ บอกให้ว่ามันมีเล่นแบบนี้กัน) สุดท้ายทำงานละเอียด มีคุณภาพของเรา ไม่เครียด ไม่วุ่นวาย สนุกกับการทำงานมากกว่าครับ และเนื้องาน จะออกมาดีกว่ามากๆ
เอาเป็นว่า สำหรับคนที่มีปัญหา อันดับตกใน Google สิ่งที่เขาต้องพิจารณา อยากให้นำเนื้อหา ในวิชาที่เราได้สอนในระบบ “The War Room” เข้ามาใช้ครับ นั่นคือ การ Revamp Page Layout ให้เป็น UX มากขึ้น และการ Re-Site Structure ให้มีคุณภาพมากขึ้น ทำการกรอก Low Quality Content ออกไปหน้าลึกๆ จากโครงสร้างหลัก และ อย่าลืม Re-mapping Site map ของเราให้เน้นคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น การแก้ไขที่เราติดหนี้ Google Search จะใช้เวลานานถึง 90 วัน ฉะนั้น ค่อยๆ สะสมไปนะครับ อย่ารีบเร่ง ใครพลาดแล้ว แล้วไม่กลับตัว ดันทะลึ่ง เข้าไปใช้ยาแรง อันนี้ผมเองก็ช่วยไม่ได้แล้ว
เริ่มแก่แล้ว เดี๋ยวนี้ ชอบมองคน หัวรั้น เดินตกเหวตาย – ไม่กระโดดเข้าไปช่วยแล้วนะครับ ปล่อยให้ตายคาก้นเหว แบบที่เขาพยายามดันทุรัง ดูแล้วสนุกกว่า สมัยก่อน ยังมีลูกฮึดบ้าจี้ ช่วยคนแบบฟรีๆ แต่ก็เจ็บตัวฟรีมาเยอะ
ทำงานมาหลายปี เข้าใจ จิตใจลึกๆของคน สุดท้ายแล้ว ก็ไว้ใจใครไม่ได้ครับ ใครคุยรู้เรื่อง พอช่วยได้ก็ช่วย ใครดื้อ ก็ปล่อยเกียร์ว่าง
การ Re-site Structure หรือ re-design site URLS แบบ Site wide เพื่อแก้ปัญหา อับดับตกใน Google
ไม่นึกว่าจะมาเจอกับตนเอง แม้แต่ค่อยๆ ทำเว็บให้มีคุณภาพ แต่ Google ก็ยังเอาใจยากครับ เอาเป็นว่า มาเช็คก่อนว่า กลุ่ม Keyword ประเภทใด ที่ทำให้ Ranking โดยรวมเราตกอันดับ
การทำ Site Url Prefix อาจช่วยเรื่อง การแกว่งของ Rank ใน WMT ได้บ้าง
อันที่จริง เอาเวลาไปสอนคนอื่นให้ทำเรื่องดีๆ แต่ไม่มีเวลาดูแล เนื้อหา และคุณภาพเว็บของตนเองจนพังไปเลย และลืมไปว่า พอเราไปเช็ค index พบว่า มี Index ขยะจำนวนมากๆ เข้า ทำให้เรา เละเลย โดยเฉพาะ เรื่องที่ให้อภัยตนเองไม่ได้ คือการละเลยการทำ Prefix ให้สะอาด (Clean) ที่สุด
ในเมื่อ Google Search Engine ตั้งแต่ปี 2014 ได้ประกาศมาชัดแล้ว ว่าจะจัดการ Low Quality Page โดยเฉพาะ Thin Content ให้เละคา Search ไอ้เราก็นึกว่าแค่ขู่ๆ แต่หารู้ไม่ว่า การลืมปรับ Prefix บวกกับการใช้ยาแรง โดยความนิสัยเสีย ที่เรามักชอบใช้ Tag WordPress – ซึ่งมีพี่ๆ ที่จริงใจใน ThaiSeoBoard แอบบอกมาบ่อยๆแล้วว่าให้ระวัง WordPress Tag.
ไอ้ความจริงก็ใช้ได้ครับ ถ้าเราทำเนื้อหา สม่ำเสมอ และ content บริบทความ มี Journalist มาเขียน Support จนเว็บเป็นสุดยอด Dynamic content ไอ้แบบนี้ใช้ไปเถิด การปั๊ม Tag มามากๆ เหมาะสำหรับ เว็บ 2 ประเภทครับ
A) เว็บไซต์ ที่มีโครงสร้าง site ที่ scope แคบมากๆจริงๆ เขียนแบบแนวเดิมๆ แก้ปัญหาเดิมๆ เพื่อระบุว่า ฉันมาขายกล้วยปิ้งรส วนิลา และฉันจะไม่ขาย นาฬิกาทราย สีชมพู อะไรแบบนั้น การตี scope แคบมากๆ จะทำให้เว็บคุณทำอันดับได้ง่าย และเก็บ Long-Tail ได้เร็วด้วย ถ้าทำเป็นนะ ส่วนใหญ่ พวก บล็อกเกอร์ (ไม่ใช่ บล็อกเก้อ แบบผม อิอิ) พวก Blogger พวกนี้ จะเป็นพวกเขียน เพ้อไปเรื่อยๆ อย่างเช่น Reviews Gadget ต่างๆ ที่มี Technical Term มากๆ อันนี้ผมแนะนำให้ใช้ Tag ได้เลย ยิง scope แคบๆ ไปเรื่อยๆ แล้ว ขยายตาม Traffic แบบนี้ปั้นแค่ครึ่งปี traffic ก็หลัก หมื่นต่อวัน โดยไม่ต้องใช้ Backlink มากมายอะไรแล้วครับ — ศาสตร์ของ ธรรมชาติ และ Organic ล้วนๆ
B) เว็บไซต์ ที่มีโครงสร้าง ที่ซับซ้อนมากๆ ลึกมากๆ และ อับเดท เนื้อหา ถี่มากๆ อันนี้แนะนำ Tag เลยครับ Google มองว่า เว็บใด Update ความเคลื่อนไหว ได้ทุกๆ 15 นาที จะมีโอกาส ติด index ได้แบบ real-time โดย Text Input นั้น ต้องเป็น Text ธรรมชาติ และไม่มี Link ออกจำนวนมากต่อโพส ( ใครไปทำ Auto-post ใน SMF ก็ระวังตัวเอาไว้ครับ ใครไม่โดนไม่รู้ว่าเสียค่าโง่ไปมากๆ โง่กว่าทำ PBN อีกครับ ) เว็บพวกนี้ ได้แก่เว็บข่าว หรือเว็บ update เร็วๆ เช่นเว็บ forum, discussion ที่ user มาตั้งกระทู้เองได้บ่อยๆ หรือ เป็นพวกเว็บ E-Commerce ขนาดใหญ่ๆ ที่มีจำนวน Category มากๆ และมีการแกว่งของ Impression ปริมาณสูงๆ ** ไม่ควรใช้การ Scrape title หรือ content มาใช้กับ web จำพวกนี้เด็ดขาด Google จับตายเร็วมาก ใครนิยม โกย Ads หรือ กินค่า Impression จากการขาย Banner ก็ไม่แนะนำให้ใช้แนวทางการปั่น Index จากการใส่ input ที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมา เพราะมันจะกลายเป็น Low Quality site โดยทันที เมื่อเกิดสภาพนั้นแล้ว ก็ต้องมา ฟื้นตัวกันยาวๆเลยครับ ส่วนเว็บที่มีโครงสร้างหนักๆ และไม่มี Link ออกเป็นปริมาณมากๆ อันนี้ใส่ Tag เป็น Exact Keyword หรือเป็น Search Query Parameter ได้เลย Google ไม่ว่าอะไรมาก ที่เห็นบ่อยๆ ก็ Amazon และ Lazada โดยตั้งนานๆ แล้วเคยอั้บเดท บทความลงเว็บ เขียนเกี่ยวกับ การทำ โครงสร้าง site navigation ของ E-Commerce ได้ครั้งหนึ่ง ลองไปอ่านกันได้ครับ
การทำ Site Prefix และ Site Structure สำหรับ Re-ranking ให้ดียิ่งขึ้น
ก่อนหน้านั้น ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการออกแบบ โครงสร้างเว็บไซต์ แบบ E-commerce ในแนว Lazada ลงไป อันนี้ มีการใส่ ค่า Prefix ลงไปใน URL เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ
เมื่อทำเว็บไปสักระยะ เรามักอาจจะไม่พอใจกับผลงานของ Impression กระกลายเป็นมังกรหัวกระดก ดิ่งตัวลง (กราฟ Impression) เนื่องจากข้อจำกัดหลายๆอย่างของ Theme WordPress ที่เราอาจพบเจอโดยบังเอิญ โดย Theme ของ Search Monopoly ที่ผมใช้ ก็ถือว่าเป็น Theme Magazine ที่หนักเอาเรื่อง ลองเข้าไปยลโฉม HTML ได้เลย แล้วเทพๆ อย่างพวกท่านที่มาแอบส่องก็จะส่ายหน้า (ยิ้ม )
ข้อจำกัดของผมในฐานะที่ไม่ได้เป็น Programmer กับเขา เขียนโค๊ดเอง ไม่ได้ตามใจ ดั่งใจ ลองหัดก็ไม่มีเวลา และอยากได้ Theme ขับสีดำ เพื่ออัตลักษณ์ ของความลึกลับ และ การปล่อยของที่ได้มาแบบลับๆ ในระบบ War Room ทำให้เรา เลือกคุณลักษณะของผู้ใช้งาน โดยการกำหนดสีของ Theme อันนี้ไว้แล้ว ถ้ามีเวลา มีเงินทุนดีๆ ก็อยากจะจ้าง Front-End มาช่วยงานเหมือนกันครับ
เมื่อเรา ทำ Index URL ไปได้สักพักหนึ่ง ราวๆ 500 URLS เราจะเริ่มพบว่า WordPress จะเริ่มส่งผล Negative แบบแกว่งๆ ซึ่งต่างจากพวก Opencart หรือ CMS ตัวอื่นๆ ด้วยระบบที่มันทำมาเพื่อให้คนเขียน BLOGเป็นหลัก และการ เลือก Theme ของเรา ต้องทำให้ site มันมีโรงสร้างแน่นๆ และ content ดีๆ มันจึงจะไปรุ่ง แต่ตอนนี้ อาการก็ร่อแร่เต็มประดา เพราะ ต้องเอาเวลากว่า 85% ของชีวิต ไปทำงานให้ลูกค้าเสียหมด และไปเตรียม Class War Room ให้วันหยุด เว็บเราเลยฝุ่นเกาะสนิมขึ้น แถมไม่น่าใช้งานแบบที่เราหวังไว้แต่แรก
เมื่อ Index Thin Content เป็น category หรือ site nav. ดันอยู่ด้านบน ทีนี้ทางผมเองต้องตบมันลงไปไว้ในๆ และ drop priority ออกเสียก่อน จนกว่าจะได้ content ที่มีความสมบูรณ์ มายิ่งขึ้น ความจริงไอ้สิ่งที่คิด มันดันไม่ออกมาแบบที่คิดไว้ตอนต้น เนี่ยแหละครับ ความสนุกของการทำ SEO ทำไปแก้ไป วุ่นๆเรื่อยๆ แถมต้องมา check User Journeys อีกหลายๆแหล่ง เพื่อให้เกิด Leads ที่มีคุณภาพ แบบว่าดูแล 1 เว็บ ต้องรู้เกือบทุกอย่าง เอาเป็นว่าผมจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไม่พร้อมแบบนี้อย่างไร
ขั้นนี้ก็มาเริ่มการทำ Prefix ได้เลย
- 1. ให้ใช้ Spider tool ทำการ Measure ค่า URL ของเรา และ test index .
- 2. กลับไป check ใน Web master tool บ่อยๆ ด้วยครับ
- 3. อันนี้ผมจะสอนใน class the war room ในการคำนวณ threshold ของ impression ที่ต้องลุ้น และ พวก site usages ต่างๆ ที่ต้องกังวล
- 4. ให้ filter ตัวที่มีปัญหา ออกมาทำการ 301 Redirections
- 5. สร้าง Silo Page หรือ Main Category เสียใหม่
- 6. ปรับ Flow Journey ให้ดีมากยิ่งขึ้น
- 7. ถ้าทำ target ได้ ให้ใช้ Google AdWords ทำ Test Quality หรือ AdRank ไปด้วยครับ
- 8. เริ่มโปรโมตใหม่ และ ทำ Social Signal ไปด้วย
- 9. การกำหนด Prefix ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณ ทำเองมือใหม่ ระวังแป้กครับ
- 10. จัดทำ sitemap ตาม prefix ที่สร้างขึ้นใหม่ แล้วไปยื่นอุทธรณ์กับ พี่ Google Search Engine กันเอาครับ
- 11. มีวิธี Boost Impression ที่แนบเนียน ไว้ขอสอนในระบบ War Room และ คลาส The Pyramid ไม่ขอเปิดเผยที่ บทความนี้ครับ (ความลับ – ปกปิด)
การ ออกแบบ Prefix ต้อง พิจารณาจากอะไรบ้างหล่ะ ??
ถ้าไม่เคยทำ ให้ลองคิดถึง sitemap – การทำ area long tails keywords แล้วแตกบริบท อันนี้ต้องทำ Test ไปเรื่อยๆ แล้ว revamp URLs ไปสักพัก เราจะพอจับทางได้เอง
เทคนิคเก่าๆ อมตะของ SEO ก็คือ ผลิต Text Input ที่ useful ป้อนเข้าไปในระบบ แล้วอย่าลืมประเด็นการ re-design Internal link นะครับ แนะนำให้ใช้ Screaming Frog เป็นตัวช่วยทำ Prio. Score แล้ววัด Impacts 90 days.
ถ้าหัวมังกร กระดกขึ้น แบบ ขั้นบันใดอีกรอบ ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ ของแบบนี้ ทำไม่ยาก ต้องคิดออกมาแบบ ลึกๆรัวๆ เช็คว่า Flow วิ่งไปตายที่ใด อ้อเกือบลืม เรื่องสุดท้าย ระวังพวก Next || Previous Pages ไอ้เมนูนี้ ไม่เหมาะกับ Information site ครับ ทำ Hierarchy flow ลงมาแบบเนียนๆ จะดีกว่า ไม่มีใครอยากอ่านบทความทีละ 30 บทความหรอกครับ