>

เป้าหมาย ภารกิจของ Search Engine

เป้าหมายของ เสิร์ชเอนจิ้น

หัวข้อนี้ เขาเริ่มประมาณว่า Internet มันฟรี และ คนต้องการค้นหาข้อมูลอยู่ตลอด แต่ Google ครองตลาดการค้นหาอยู่มากกว่า 90%

% ส่วนแบ่ง การใช้งาน Google ในตลาด เสิร์ชเอนจิ้น

Search Engine พยายามทำให้คนพอใจกับประสบการณ์ของผลการค้นหา โดย search engine จะแสดงผลที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราค้นหาอยู่บนผลลัพธ์ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

บริษัท Search Engine ทั้งหลายลงทุนไปมากมายเพื่อพัฒนา ความเร็วของผลลัพธ์ และ ความเกี่ยวข้องอย่างใกล้เคียงที่สุด มีการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานอยู่เสมอ และมี เทคนิค Machine Learning เพื่อ Algorithms ส่วน Google Search ได้เงินจากการผลิตโฆษณา (PPC) โดยผู้จ่ายโฆษณาจะจ่ายเมื่อเกิดการ click จากผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงที่สุดในการค้นหา หากทำการหลอกลวง Google มันจะตรวจพบว่าเรามีพฤติกรรมเป็น Spam จะทำให้เราได้รับสิ่งที่แย่ลงไปอีก

เสิร์ชเอนจิ้น ได้จ้างทีมงานเพื่อมาปราบ Spam อย่างจริงจัง สำหรับนักทำ SEO ต้องระวังให้มาก บางอย่างที่จงใจเกินไป หรือ การกระทำบางอย่างอาจทำให้เข้าข่าย Spam ได้

ส่วนเรื่องสุดท้ายของหัวข้อนี้ เขาได้กล่าวถึงการครองตลาดของ Google ทั่วโลก แต่ไม่ใช่ใน จีน กับ รัสเซีย ซึ่งเป็นของ Baidu กับ Yandex ตามลำดับ

Goals of Searching: The User’s Perspective

เป้าหมายของการค้นหา – มุมมองจากผู้ใช้

หัวข้อนี้กล่าวถึง query หรือ คำค้นใน search box โดยผู้ใช้งานใช้การผสมคำค้นต่างๆ แล้วให้ เสิร์ชเอนจิ้นทำงาน ส่วนการค้นหานั้นมี “intent” (ซึ่งผมเองก็ให้ความสำคัญกับคำๆนี้มากเลยครับ) เพราะมันเป็นปัจจัยการออกแบบกลยุทธ์ทาง SEO และมีการกล่าวถึงจิตวิทยาการค้นหาของผู้ใช้งาน เพื่อเชื่อมโยงระหว่าง บริการ หรือ สินค้า ที่เราจะแสดงในเว็บ อีกคำนึงที่อยากให้ผู้อ่านศึกษาคือคำว่า “Query-based Search Engine” เสิร์ชเอนจิ้นพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายปี แต่หลักๆของการทำงานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ตามหลักการดังต่อไปนี้

1) ประสบการณ์ของผู้ใช้งานต้องการ ข้อมูล ผู้ใช้งานอาจอยากค้นหาเว็บไซต์นั้นๆ (Navigational query) หรือเขาอยากจะเรียนรู้บางอย่าง (Information Query) หรือเขาอาจอยากจะซื้อบางอย่าง (Transactional query) เนื้อหาเหล่านี้จะกล่าวในบทถัดไป

2) ผู้ใช้งานให้การผสมคำ เป็นวลี (Search Term) ข้อมูลทางสถิติพบว่า 58.8% ใช้ความยาว 1-3 คำ ส่วนผู้ใช้งานที่เชี่ยวชาญเรื่องเว็บไซต์ อาจจะใช้คำค้นที่ยาวกว่านั้น

ความยาวของคำ ในการค้นหา search engine
https://www.researchgate.net/figure/Query-length-distribution_fig1_220320971

3) ผู้ใช้งานเริ่มใช้คำค้นเบื้องต้น แล้วได้ผลลัพธ์ แล้ว ผู้ใช้งาน ก็ปรับปรุงคำค้นอีกครั้ง

Determining User Intent: A Challenge for Saerch Maketers and Search Engine

เนื้อหาในหัวข้อนี้คือให้เราพยายามเข้าใจผู้ที่ทำการค้นหาข้อมูล เรียนรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ โดยใช้คำว่า “Empathy” และให้เราเข้าใจไว้ว่า Search Engine คือ เครื่องมือ เพื่อเป็นแหล่งป้อนไปสู่เนื้อหาต่างๆ การใส่คำค้นบน search box นั้นแตกต่างจากการใส่ url ใน Browser หรือการคลิกบน bookmark เพราะว่าคนที่ค้นหาเขาจะมี “intent” ว่าผู้ใช้งานอยากได้ข้อมูลอะไร เนื้อหาด้านล่างจะพูดถึง ประเภทต่างๆของการค้นหา คุณลักษณะ และ กระบวนการ

Navigational Queries

จะเป็น intent ที่ค้นหา เว็บไซต์นั้นๆ ให้เจอ มันเหมือนวิธีการค้นหาในสมุดหน้าเหลือง ดูตัวอย่างตามภาพ

navigational query
https://www.wordstream.com/blog/ws/2012/12/10/three-types-of-search-queries

สถิติ 70% Click บนอันดับแรกใน Branded queries

Company Brand มีคุณค่ามาก แต่อาจจะไม่ได้ new customers โดยหัวข้อนี้จะเหมาะกับคำค้นที่เป็นแบรนด์

Information Queries

หัวข้อนี้เขากล่าวถึงคำค้นแบบกว้างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ, เส้นทางขับรถ, อาการของโรค, ข้อมูลสำหรับทำด้วยตนเอง Informational search มันคือ nontransactional-oriented การค้นหาเหล่านี้อาจรวมไปถึง สินค้า และ บริการ

Informational queries มักจะมี conversion ต่ำ แต่เหมาะกับการปั้น brand และการสร้าง link โอกาสคือ ทำให้คนรู้จักเรามากยิ่งขึ้น ทำให้นักเขียนนำเว็บเราไปโปรโมตต่อ ทำให้เกิดการสมัครสมาชิกในอนาคต ส่วนในเรื่องของ traffic ในหนังสืออธิบายว่าผู้ใช้งานอาจไม่พร้อมที่จะซื้อ คือให้เราทำ keyword ที่ลึกกว่าเข้ามาด้วย เพราะ user จะค้นหาและปรับคำค้นให้ลึกขึ้น แล้วอาจจะมาเจอเราอีก

Transactional queries

 

 

Transactional Queries

คำว่า Transactional Queries ไม่ได้หมายถึง การใช้ บัตรเครดิต หรือ ธุรกรรมทางการเงินแต่อย่างใด แต่อาจหมายถึง สมัครบัญชีใน Pinterest หรือ การสมัครใช้บริการฟรี ของ domain tool หรือการค้นหา ร้านอาหารอร่อยแนวญี่ปุ่น คำค้นเหล่านี้เกิด conversion สูง คุณค่าทาง traffic สูงมาก ผลของ transaction อาจไม่ได้เกิดในทันทีทันใด แต่มันสร้าง user rentention ให้คนกลับมาใช้ซ้ำๆได้สูง

Transactional queries
https://mirasvit.com/blog/three-types-of-search-queries-navigational-informational-transactional.html

Local Queries

อันนี้เป็นการค้นหาที่มีทำเลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น จะซื้อพิซซ่าได้ที่ไหน, ที่จอดรถใหล้ที่สุด, การถามทาง สถานที่ซื้อสิ่งของต่างๆ หรือ การไปดูหนังในโรงหนัง โดย Local Queries เป็น subclass ของ queries อื่นๆทั้งสามตัวที่กล่าวมา และเกี่ยวข้องกับ transactional มากที่สุด โอกาสที่จะทำให้คนเดินเข้ามาหาเรามีสูง และเป็น keyword intent ที่สำคัญมีมูลค่าสูงอีกด้วย

วันนี้ขอ สรุปรีวิวถึงแค่นี้ก่อน หากท่านต้องการติดตามตอนต่อไป โปรด Add FB ของผมนะครับ >> Palawast Jeamsaard ผมจะส่งให้ทาง Message ครับ [Update 2023/12/13 : 6:39PM]

 

 

(1) อ่านบทก่อนหน้านี้ SEO Myths Versus Reality

(2) กลับไปหน้าหลักของ รีวิวหนังสือ The Art of SEO 4th Edition

รีวิวสรุป SEO Book – The Art of SEO 4th Edition [Chapter1]

[การค้นหา] การสะท้อนกลับถึงจิตสำนึกตนเอง และ การเชื่อมต่อทางการค้า

reflective consciousness

 

[ประกาศ] เนื้อหาทั้งหมดนี้ เป็นแค่สรุปเท่านั้น ไม่ได้นำเนื้อหาในหนังสือมาแปลแต่อย่างใด หากท่านสนใจรายละเอียด โปรดซื้อหนังสือ The Art of SEO 4th Edition

 

บทที่ 1 คิดว่าเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับ สถานะของ SEO ว่ามันมีอยู่เพื่ออะไร และอธิบายเกี่ยวกับ พฤติกรรมการค้นหาของ users

ผมอ่าน table of content แล้วก็พบว่าน่าสนใจมากครับ สามารถมาต่อยอดการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ของเรา ให้ตอบสนองกับการค้นหาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งผมยอมรับเลยว่าอาจทำ เนื้อหาไม่เก่งเท่ากับนักการตลาดสาย content marketing ชั้นนำในไทย แต่ผมก็พิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า ผมสามารถทำเว็บไซต์ให้ตอบสนองกับ SEOได้ดีกว่าคู่แข่งในหลายๆสำนักครับ

 

เนื้อหา บทที่ 1 จะมีดังต่อไปนี้

Is this Book for you ?

SEO Myths Versus Reality

The mission of Search Engines

Goals of Searching: The User’s Perspective

Determining User Intent: A Challenge for Search Marketers & Search Engine

  • Navigational Queries
  • Informational Queries
  • Transactional Queries
  • Local Queries
  • Searcher Intent

How User Search

How Search Engine Drive ECommerce

Types of Search Traffic

  • Search Traffic by Device Type
  • More on the Makeup of SERPs

The Role of AI and Machine Learning

Using Generative AI for Content Generation

SEO as a Career

Conclusion

 

ในบทนี้กล่าวถึงการทำงานในสายงาน SEO ว่าทำอะไรบ้าง โดยมีเป้าหมายให้ทั้ง Search Engine และ ผู้ใช้งานจริง ควบคู่กันไป และ ได้เน้นย้ำว่า ranking อาจไม่ใช่เป้าหมายที่สุด โดยแท้จริงแล้วทำเพื่อ เปลี่ยนให้ผู้ใช้งานกลายเป็นลูกค้าเรา ทางสถิติมี 7.5 พันล้านคนใช้งานการค้นหาใน Google ในแต่ละวัน หรือ 85,000 การค้นหาในแต่ละ วินาที ซึ่งมากกว่า 50% ของ traffic บนเว็บมาจากช่องทาง Organic ทำให้ SEO มีความสำคัญต่อธุรกิจหลายชนิด

พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป เพราะมีการค้นหา และเกิดการ interact กันคน ทำให้ทุกคนต้องการ เพิ่ม traffic ให้กับเว็บที่ตนเองเป็นเจ้าของ จึงกลายเป็นพื้นที่ทางอสังหาฯได้เลยแต่มันก็ไม่ง่าย ในหนังสือเล่มนี้จะอธิบาย ตัวอย่าง และ ขุดลึกตามไปถึงความเปลี่ยนแปลงของการทำ SEO

Is this Book for you ? – หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณไหม ?

เขาพยายามเคลมว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนทุกคน และทำการพัฒนาทักษะทางด้าน SEO และหนังสือเล่มนี้ยังครอบคลุมไปถึงคนที่ทำงานที่อาจต้องมีความรู้ทาง SEO ด้วย เช่น Product Manager, Marketer, Graphic Designer และ web developer. โดยหนังสือทั่วไปอาจจะเน้นเรื่อง teachnical SEO เสียมาก โดยส่วนใหญ่ พวก CMS Platform หรือ Ecommerce Platform ที่เราใช้งานอยู่อาจไม่ได้พัฒนามาให้เหมาะสมกับการปรับปรุงเว็บทางด้าน SEO มากนัก เช่นใน JavaScript หรือ Static site Generator ซึ่งมันจะเสียเวลามากหากคุณมัวแต่ศึกษาทางด้าน Technical SEO เหล่านั้น

ในเนื้อหาส่วนนี้เขาได้อธิบายเกี่ยวกับ สิ่งที่ต้องทำและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเว็บ เช่น Technical SEO ควรให้ความสำคัญอย่างไร และ Link ที่เราได้จำเป็นมากแค่ไหน

สิ่งที่เขาเน้นย้ำให้เราคิด ก็คือ ความ Creative ที่จะใส่ลงไปในเว็บไซต์ และการค้นหา Personas สำหรับอุตสาหกรรมนั้นๆ โดยเนื้อหาหลักๆ ให้ไปดูบทที่ 4 [Chapter 4]

SEO Myths Versus Reality

คือหัวข้อนี้เขาอธิบายเรื่องคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่อง SEO นั่นแหละ

อย่างเช่น

อภินิหาร – SEO ใช้เทคนิคลับๆ นิดหน่อย

ความเป็นจริง – SEO นั้น Complex และ ใช้เวลามาก การปรับ SEO ให้เว็บก็เหมือนปรับแต่ง Resume ประมาณนั้น (ในหนังสือมีอธิบายเยอะกว่านั้นนะครับ)

อภินิหาร – SEO นั้น Spammy

ความเป็นจริง – จริงๆ ก็มีเทคนิค SEO ที่ไร้จรรยบรรณอยู่ โดยละเมิดกฏของ Google และมาตรฐานการพัฒนาเว็บ ในหนังสือเล่มนี้ไม่มีการสอนวิธี “Black Hat”

อภินิหาร – SEO ถ้าไม่ Spam จะเปลือง เงิน และ เวลา

ความเป็นจริง – การทำแบบ Black Hat อาจทำให้ได้ rank ที่รวดเร็ว แต่อยู่ในช่วงสั้นๆ และถูก Banned จาก Index ใน Google โดยเฉพาะ keyword ที่มีการค้นหาสูงๆ จะต้องใช้เวลา และ เงิน ในการอยู่บน top10 มันไม่มีแบบ สารสเตียรอยด์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบนั้น

*** อันนี้ เหมือนหนังสือบอกเป็นนัยๆว่า ทำ SEO ต้องใช้เงิน ซึ่งตรงนี้ Search Monopoly เห็นด้วยอย่างยิ่ง !! *** 

อภินิหาร – คุณต้องการ Web Dev หรือ ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน IT ในการทำ SEO

ความเป็นจริง – หากคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทาง Tech แล้วหล่ะก็ ในตลาดมีเครื่องมือในการทำ SEO ซึ่งอ่านเพิ่มในบทที่ 4 (Chapter 4) เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยในเรื่องการทำ Technical SEO ได้เป็นอย่างมาก โดยการแก้ไขหรือปรับปรุงเว็บสามารถให้คนที่ดูแลเว็บไซต์หรือโปรแกรมเม่อร์ช่วย Support เราได้ หากคุณมีความรู้ทางด้าน HTML บ้างนอดหน่อยจะช่วยได้มากเลย และคุณไม่จำเป็นต้องเก่งด้าน Coding แม้แต่น้อย

อภินิหาร – SEO เหมาะสำหรับ เว็บ eCommerce และ เว็บองค์กรขนาดใหญ่

ความเป็นจริง – หากเราต้องการที่จะทำให้เว็บค้นหาเจอใน Google โดยที่ไม่ต้องขายของแบบ Direct sales เราสามารถพัฒนาเนื้อหาในการสร้าง Blog เพื่อสร้างรายได้ จากการวาง Ads หรือวาง Affiliate link หรือจากการสัมครเป็นสามาชิกเว็บเรา ทุกๆกิจกรรมเหล่านี้เราสามารถใช้ประโยชน์จากการทำ SEO ได้

อภินิหาร – การปรับเว็บต้องใช้เงินในการออกแบบเว็บใหม่ หรือเปลี่ยนค่าย CMS หรือจ่ายเพื่ออับเกรดเว็บโฮสติ้ง

ความเป็นจริง – ในบางเคส เราอาจต้องเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ หรือโฮสติ้ง เพื่อแก้ไขปัญหาทางเทคนิคของ SEO โดยมันมีหลายทางเลือก ในเมื่อเราสามารถสร้าง Traffic ได้เพิ่มขึ้น มันอาจจะคุ้มค่าในการลงทุนตรงส่วนนี้ โดยในกฏของการทำ SEO ไม่ได้บอกว่าคุณจำเป็นต้องใช้แต่ WordPress เสมอไป

อภินิหาร – SEO จำเป็นต้องใช้ Social Media ที่มีความเคลื่อนไหวสูง หรือใช้ช่องทางของ Influencer ร่วมด้วย

ความเป็นจริง – เราไม่จำเป็นต้องใช้ หรือทำอะไรที่เกี่ยวกับ Social Media เลย ถ้าหากมันไม่สมเหตุสมผลสำหรับองค์กรคุณ มันอาจจะช่วยในการสร้าง Link ได้บ้าง (Chapter 10) แต่หากว่าเว็บเรามีเนื้อหาที่ดี และเป็นมิตรต่อเสิร์ชเอนจิ้น เราสามารถสร้าง Link ที่มีคุณภาพได้อย่างฟรีๆโดยไม่ต้องติดต่อใคร แต่มันอาจจะใช้เวลานานหน่อย

อภินิหาร – การซื้อ Google Ads หรือการติด Google Ads ในเว็บของเรา จะใช้ต้นทุนที่ถูกกว่า SEO

ความเป็นจริง – Paid Search อาจทำให้คนเข้าเว็บเรามากยิ่งขึ้นมากกว่าจะไม่ทำอะไร แต่การทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จ จะสร้าง traffic ได้มากกว่าการซื้อโฆษณา และสร้าง ROI ที่ดีกว่า การซื้อโฆษณาบน Google ก็ไม่ได้ทำให้อันดับทาง Organic นั้นสูงขึ้นแต่อย่างใด แต่การซื้อ ads อาจทำให้ traffic เพิ่มขึ้น และอาจมีคนเอาเนื้อหาที่ดีของเราไปทำ Backlink ให้ต่อ ถือว่าเป็นการเพิ่ม rank ในแบบอ้อมๆ โดยจะอยู่ในบทที่ 10 (Chapter 10) ด้วยความคาดหวังที่ว่า มีคนคลิกที่ ads เราแล้วนำ link เราไปแชร์ต่อ แต่มันไม่ใช้วิธีการที่เราสามารถคาดคะเนได้

หากใครที่ซื้อ ads แล้วได้ link หรือ ranking เพิ่มขึ้น ก็ขอแนะนำให้ทำต่อไป แต่แนะนำให้เพิ่ม organic traffic ควบคู่ไปด้วยจะดียิ่งกว่า เน้นย้ำอีกครั้งว่า SEO ทำ ROI ได้ดีกว่า การทำ SEO นั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง แต่บางเคสเช่นต้องไปแข่งกับองค์กรใหญ่ๆ ก็ต้องมีทุนหนาพอสมควร สำหรับ keyword ใหญ่ๆที่มีมูลค่าสูง

NOTE เพิ่มเติม

การทำโฆษณาบน Google จะช่วยในเรื่องการทำ keyword research ได้อีกด้วย หรือเรานำไปใช้ทำ A/B Testing เพื่อผลประโยชน์ในการเลือก Landing page ให้กับการทำ SEO และในวงการ SEO พวกเทพๆ เขาก็นิยมใช้ ข้อมูลที่มาจาก Google Ads อาทิ conversion, Engagement เพื่อพัฒนากลยุทธ์ SEO

 

(1) อ่านบทต่อไป The mission of Search Engines

(2) กลับไปหน้าหลักของ รีวิวหนังสือ The Art of SEO 4th Edition

 

Reach vs Next.js สำหรับ SEO – อย่างไหนดีกว่ากัน

เว็บที่ใช้ next.js ดีต่อ SEO ไหม? วันนี้ เราได้ถามตนเอง และพยายามหาคำตอบ ที่น่าตื่นใจ คือ ยุค SEO ที่เน้นการ Code ถือว่าอยู่ในส่วนของ Technical SEO โดยมันเป็นเรื่องของการเลือก Framework นำมาใช้พัฒนาเว็บ

เว็บที่ใช้ next.js ดีต่อ SEO ไหม?

วันนี้ เราได้ถามตนเอง และพยายามหาคำตอบ ที่น่าตื่นใจ คือ ยุค SEO ที่เน้นการ Code ถือว่าอยู่ในส่วนของ Technical SEO โดยมันเป็นเรื่องของการเลือก Framework นำมาใช้พัฒนาเว็บ

วันก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมได้เข้าไปสอบถามเพื่อนๆ และคนในวงการ Dev. ว่าอะไรดีสุดสำหรับทำเว็บเพื่อรองรับ SEO เนื่องจากมีลูกค้าท่านหนึ่ง เกิดปัญหาจากการใช้ WordPress โดยสิ่งที่เกิดขึ้นคือ Web อืด render ไม่ค่อยไป แถม Plugin ในเว็บก็มียุบยับเต็มไปหมด แล้วลูกค้าได้มาสอบถามว่าควรจะแก้ไขอย่างไร ทางผมเองที่มุ่งเน้นแต่ทำ SEO ส่วนใหญ่ทำให้กับ Web Platform WordPress ก็พอจะทราบปัญหาเดียวกันคือเว็บเริ่มอืดๆ เมื่อมันเป็นเว็บขนาดใหญ่ และต้องติดตั้ง Plugin จำนวนมาก ซึ่งผมเองก็เริ่มมองว่า CMS – WordPress อาจจะไม่ตอบโจทย์การทำ SEO สมัยนี้แล้วก็เป็นได้

แต่อย่างเพิ่งตกใจไปครับ เพราะเว็บส่วนใหญ่ ที่แข่งขันทำ SEO กันอยู่ โดยมากแล้วยังคงใช้ WordPress กัน แต่ตอนที่สอบถามผู้คนได้ List มาตามนี้ครับ

  1. ทำเว็บโดยใช้ PHP Laravel
  2. ใช้ WordPress เหมือนเดิม
  3. ใช้ Python ทำเว็บ SEO
  4. ทำเว็บด้วย React
  5. ทำเว็บด้วย Next.JS

ทั้ง 5 Solution มีแค่ WordPress ที่คิดว่าง่ายสุด แต่ทางผมก็คิดหา Solution อื่นๆ ที่อาจเหมาะสมกว่าสำหรับลูกค้าบางราย ผมได้รับ Request มาว่า ต้องการเว็บน้ำหนักเบา มี Speed Performance ที่สูง ซึ่งผมถามและอ่านหลายๆบทความทำให้เข้าใจแบบคร่าวๆ ว่า การทำเว็บด้วย Next.JS น่าจะได้เปรียบทางด้าน SEO มากกว่า

Next JS vs React

ผมขอพุ่งประเด็นไปที่ Next.JS กับ React ก่อน เพราะเห็นว่ามันคล้ายๆกัน จากบทความของ Wojciech Baranowski เรื่อง “Next JS vs React: The 2022 Comparison” ผมได้เข้าไปอ่านและทำความเขาใจในการเปรียบเทียบ ทั้ง 2 Solution ดังนี้ครับ

อะไรคือ Next.JS ?

Next.JS เปิดตัวปี 2016, และกลายเป็น framework ที่นิยมมากๆในยุคนี้ มันเป็น React Framework ที่ Dev. สามารถสร้าง Single-page, JavaScript web applications เป็นการใช้งานแบบ “server-side rendering” (SSR)
ผลของมันก็คือ ได้เว็บที่เร็วมากๆ ตอบโจทย์ การทำ SEO

แต่กระนั้น มันก็คงเป็นเรื่องที่เปรียบเทียบได้ยาก เพราะ Next.JS คือ React framework และ React is a library

ความได้เปรียบ

SEO Friendly – ในปัจจุบัน การทำเว็บด้วย React ก็เป็น SEO Friendly แล้ว Next.JS หล่ะ ? เขาว่ากันว่า Next.JS นั้น SEO Friendly มากกว่า ซึ่งใน React เมื่อ user ทำการ click ในหน้าเว็บเพจต่างๆ การกระทำนั้นเกิดขึ้นในฝั่ง client-side มันจึงเกิดปัญหาเรื่องของ robot ของ search engine ที่เข้ามาเก็บข้อมูลเพื่อนำไป index

ในเคสนี้ ความแตกต่างของ Next.JS โดยที่มันเป็น server-side rendering มันจึงมีประสิทธิภาพในการจัด index ใน SERP

แก้ไข สถานการณ์ Impression ตกลง ฉบับ นักบริหาร

หาก Impression ตกลง เราจะทำอย่างไร ?

search impression 2018

สำหรับ ท่านที่รับทำ SEO ทุกแขนง เมื่อถึงเวลา Impression เส้นนี้ drop ลง เหมือน ถ่านหมด.. บรรยากาศ เริ่ม “มาคุฯ” ระหว่าง Client กับผู้ให้บริการ
สิ่งที่ SEO จะทำต่อไป (วิชามาร) คือ ให้รีบหา ข้ออ้าง , Trend Dropped บ้าง หรือ Google Algorithm เปลี่ยนแปลงบ้าง เพื่อซื้อเวลาให้ลูกค้า อยู่กับเราไปอีก…
เทคนิค ห่วยๆ แบบนี้ พวก มือสมัครเล่น ใช้กัน – การซื้อเวลา ที่เหลือ เพื่อเอาไปซื้อ Backlink มาเติมนั่นเอง

… จะทำ ทำไม ?

Impression ตก ไม่ต้องหลอกลูกค้า บอกกันตรงๆ ว่ามัน ตก!

เอาแบบนี้ ธุรกิจ ของใคร ใครก็รัก ใครก็หวง ฉนั้น เมื่อ Impression ตกลงมา ก่อนอื่น ให้ เข้าสู่กระบวนการ War Room Part แรกก่อนเลย

1. SEO Service แอ่นอกรับ ว่า ดูแลอันดับไม่ดี
2. Check ไปเลย มี Link หายไปเท่าไหร่ ?
3. พัฒนา Backlink ด้วยวิธีการ คุณภาพ และประหยัดสุดๆ เพื่อให้ได้มาของความอุ่นใจ และ สบายใจ ในอีก 45 วัน
4. เข้าสู่ กระวนการ Business Developments.

การแก้ไข Impression แกว่งลง (สายยั่งยืน)

ปี 2018 แนะนำว่า อย่าทำ SEO แบบ Control Ranking, เพราะ ทำแล้ว ได้ Traffic ก็จริง แต่จะพายเรือวนทวนในอ่าง
หาก คุณทำ SEO ให้กับ ลูกค้ามานาน 3 ปีขึ้นไป แล้วเขายังอยู่กับคุณ นั่นหมายความว่า สิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ Ranking แล้วครับ มันผ่าน Stage การวัดใจไปแล้ว

เมื่อแปลง ลูกค้า ขาจรฯ ให้กลายเป็นลูกค้าประจำเราได้ หน้าที่ ความรับผิดชอบ เราควรจะเข้ามาสนใจรายละเอียด เรื่อง ความมั่นคงภายใน ให้มากขึ้น (เทคนิค ไม่ขอบอกนะครับ เพราะ วิชาชีพนี้ เป็นสูตรลับเฉพาะ ของ Search Monopoly ครับ)

สิ่งที่เราจะทำ เมื่อเห็นกราฟ Impression ตกลง แบบนี้ เราจะมองก่อนเลยว่า

ลูกค้า ต้องการ พัฒนาอะไร สิ่งไหน ?

และ ติดต่อลูกค้าของเรา โดยเตรียมความพร้อมไปทำการ รีวิว Business ของเรา ต่อไป

ถอยหลังกลับไปยาวๆ เพื่อทำความเข้าใจ และ อำนาจการต่อรองและการแข่งขัน

และผมจะค้นหาการแข่งขันที่ดีและหนักแน่นกว่าเดิม หรือ การกระโดดออกไปจากกล่อง พื้นที่สีแดง ของการแข่งขัน ที่ไม่มีประสิทธิภาพ

 

สิ่งที่เรา “Search Monopoly” ได้ research และทดลอง มาหลายปี กลับยิ่งพบว่า SEO มาในทาง DATA Schema เพิ่มมากขึ้น ใครยังบ้า Text อยู่ ก็ช่วยไม่ได้ครับ เพราะ มันเสียเวลาทำ อย่าง Text ที่คุณอ่านในเว็บเรา ยังไม่มี value เท่ากับการกลับมาสร้าง prototype จริงจัง และพัฒนา user behavior ที่เหมาะสมกับชุด query ที่เขา ค้นหาใน search engine.

พยายามศึกษา ความต้องการของ Google ด้วย ว่าเขา ต้องการ Data และ ต้องการ Result ที่ตอบโจทย์กับ user ของเขา ถ้าเรา พัฒนาผลงานแบบ win-win ทั้งสองฝ่ายก็รวย

ส่วน SME อย่าหัวหมอ ทำแต่ Ranking ไปอยู่ Top 1 แล้ว เอาแต่ ดัก “Lead” หรือ รอ In-Bound เข้าไป เพราะ ปี 2018 Google เริ่มรู้วิธีดัดหลัง ทั้งคนทำ SEO และ นักธุรกิจ ที่อืดอาดยืดยาด ไม่ได้เอาใจใส่มาโลกออนไลน์ และ เอาแค่ หวังผลประโยชน์ จาก Technology Online.

ปี 2018 นี้ SEO เอง ก็จะยกระดับ รับใช้ ธุรกิจ ที่เข้าใจ โลกของการ Search และ พยายาม เอา Policy ของ Google เข้ามาอยู่ในสูตรสมการ Monopoly ในแบบฉบับของเรา เท่านั้นเอง

ในปี 2018 – MOZ เอามุกเดิม มาปัดฝุ่นเล่นใหม่

ใน Moz มี แนะนำ กลุ่ม Keywords 3 กลุ่ม
High Volume Keywords
Mid Volume Keywords
Low Volume Keywords

มันก็คือ มุกเดิมๆ head, body, tail.
ทีนี้ เราจะสนใจ Keyword กลุ่มใดเป็นหลัก ?

สำหรับ Search Monopoly มองว่า การพัฒนา SEO ให้เกิด content เชิงกลยุทธ์ เราจะกลับไปมองเรื่อง Marget Segment
และการ หา specific selling point. ซึ่ง บอกกันตรงๆ E-Commerce ใหญ่ๆ ก็แอบทำครับ เพราะผมเคยทำที่นั่นมาก่อน

เมื่อทาง MOZ. กล่าวแบบนี้ ให้เราทำอย่างไร? 

บอกได้เลย ไปพัฒนา Selling point และ สร้าง content สาย ธุรกิจ และ อธิบาย Process ของเราให้ ละเอียดมากขึ้น

ส่วน โครงสร้าง URL เป็นความลับ เทคนิคเฉพาะ ของ Search Monopoly และเราพัฒนารูปแบบใหม่ ที่ปรับได้ดีกว่าเดิม

ของ version 2014 ที่เราเคยขายระบบ Prefix- แบบ Goodguide.com อันนั้น ยังพอใช้ได้ แต่เราเอง ยังมีของที่ เหนือกว่า และ ไม่อยากปล่อยให้ใคร นอกจากลูกค้าของเราเท่านั้น

ส่วนเรื่อง Backlink สำหรับปี 2018 MOZ เห็นต่างกับ Search Monopoly.

MOZ: มองว่า Backlink ไม่สำคัญ และถูกลดความสำคัญลงมาก แต่มันยังไม่ตาย – MOZ. กล่าวแบบนี้ เพราะ Moz ต้องแบกรับ การ Acquired Backlink และ เข้าสู่การ maintain traffic แล้วต่างหาก เขาจึงต้องลดบทบาทของ Backlink ลงไป.

Search Monopoly: ประเทศไทย และ Asia, บอกได้เลยว่า Backlink สำคัญที่สุด เพียงแต่ “คุณ” สร้าง หรือ หามันเป็นหรือเปล่า ??

 

สรุป.

  • Impression ตก.
  • ให้เรา ดู Biz. Dev.
  • พัฒนา Biz Dev.
  • สร้าง Selling point.
  • แล้ว ทำ Link Pyramid. ที่ฉลาดๆ แบบ LZD.

 

 

Anxiety คือ จุดอ่อนของ SEO

เราค้นพบ ข้อจำกัดของการทำ SEO ในประเทศไทย

Wisdom ที่ค้นพบใหม่ คือเรื่องของ Stability. กลุ่มของความเสถียร ในการพัฒนาระบบ
เอาแบบนี้ครับ ทางผม ทำงานในสาย IS. มานาน และ เข้าใจดีกว่า System ต้องมี User. และ user ส่วนใหญ่คือ มนุษย์

ที่นี้ครับ – อ่านบทความนี้ดีๆ อยากให้อ่านทุกบรรทัดอย่างระมัดระวัง.
ผมพยายาม เขียน งานเขียนให้ กระชับ และ สั้นที่สุด. โดย ไม่สนใจว่ามันจะ ติด SEO หรือไม่ บทความนี้ เน้นเนื้อ ให้ ผู้อ่าน ทำความเข้าใจครับ
บทความนี้ จะแสดง Diagram เข้าไปด้วย เพื่อ ผู้อ่าน จะได้เข้าใจ สิ่งที่ผมสื่อมากยิ่งขึ้นครับ

Internet Anxiety กับความไม่คุ้นเคยของ Client

ตอนเรียนที่มหาลัย เราไม่นึกไม่ฝันว่า คำสอนที่เขาบอกว่า “Human Error” นั้นจะมีอยู่ใน ระบบของการทำ SEO ด้วย
เดาออกไหมครับ ว่าหมายถึงอะไร ?
นั่นคือ ความหวาดระแวง, ความไม่มั่นใจ, ความไม่ชัดเจน, ความไม่ถ่องแท้ในคุณค่า ทำให้เกิด Anxiety และ ความไม่ลงรอยต่างๆ (Conflicts) ซึ่งนำไปสู่ การพัฒนาระบบในองค์กรณ์

ในปี 2018 เราค้นพบ ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า – Value ทางฝั่ง SEO นั้น แทบไม่มีบทบาทในสายงาน การตลาดออนไลน์ อย่างเป็นรูปธรรม ในความเป็นจริง การทำ SEO ต้องใช้เวลา และ ทรัพยากรณ์มากมาย มากกว่าจะให้ ใครคนใดคนหนึ่งมาแบกรับ

การทำ SEO ที่ดี ควรเป็นการสร้าง Business Community.

ผมเคยกล่าวกับ มนุษย์ทุกคน ที่ผมรู้จัก เพราะตั้งแต่ปี 2009. ผมได้อ่านบทความ ของนักกลยุทธ์ ชาวสิงคโปร์ เรื่อง 3 Spheres ของ web success.

และผมมองออกชัดเลยว่า ชัยชนะ ทางการตลาดออนไลน์ คือ การสร้าง Business Community. ไม่ใช่ ทำเว็บให้เสร็จๆ แล้วยิง Ads.

ทำไม เหล่า Guru ไม่ยอมบอก พวกคุณหล่ะ ?

Point คือ ถ้า Guru บอกพวกคุณ สิ่งที่จะหายไปคือ วงการ Digital Agency ตัวเป้งๆ นั่นเอง

ทำไมหล่ะ ?? 

เพราะ Business Units ต่างๆ สามารถ จับมือกันเอง สร้างทิศทาง กำหนด นโยบาย ได้ด้วยตนเอง อย่างอิสระ มากยิ่งขึ้น

บอกกันตรงๆครับ แค่ฝรั่งขี้นก เข้าเมืองไทยมาเขียน Blog แล้วอยู่ห้องพัดลมวันละ 400 บาท เขาสามารถสร้าง Business Community ได้ภายในไม่กี่วัน

พวกนี้ Backpacker ทั้งนั้น จับมือกันทำได้ง่าย ทำไปทำมา อำนาจต่อรอง มันก็มี เพราะมันเป็นชุมชน

หน้าที่ของคนทำ SEO ควรเป็น การสร้างชุมชน Business ที่ยั่งยืนครับ

ใคร ไม่สามารถ รับนโยบายนี้ ต้องไปหา Solutions อื่นๆ ที่เข้ากับนโยบายของคุณ

ใครชอบ Way นี้ ให้มาใช้ บริการของผม

กลับมาที่เรื่อง Internet Anxiety

ผมทำงาน กับลูกค้า ที่ไม่ได้ เข้าใจกระบวนการทำงานทางฝั่ง IT ทำให้เรา เจอ แรงเสียดทาน และ สิ่งทิมแทงเข้ามาเยอะมากๆ

พวกเขาคือ SME. สิ่งที่เขา นั่งนับตัวเลข คือ “หนี้” , “กำไร” , “ขาดทุน” เท่านั้น

เขามอง Value ของ SEO คืออะไร ? -> ส่วนใหญ่ คาดหวังเป็นยอดขายโดยทันที อยากได้ โทรศัพท์เข้ามาเร็วๆ

พวกเขาไม่ได้มองอะไร ? –> พวกเขา ไม่ยอมมองความสำคัญ คือ “ความเสี่ยง ของพวกเขาเอง”

กับดัก คือเวลา

และ ผม จะไม่มานั่ง งัดกับความเชื่อคน เพราะ เวลา ของผมเอง ก็มีจำกัด

ในความเป็น Technician และ Specialist มองและเข้าใจก้อน Value อันนี้ > หาก ฝั่ง Clients ไม่สามารถ เข้าถึง หลักการ ตรงนี้ได้

เราเอง ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะ Clients เอง จะเป็นความเสี่ยง ให้กับทิศทาง และ อุปสรรคในการพัฒนาระบบให้เกิดขึ้นได้จริง

SME > ทิศทาง > ลดหนี้ > เพิ่มกำไร

SEO > ทิศทาง > เพิ่ม มูลค่า Links > เพิ่ม Rank. > เพิ่ม Search Impression และ เพิ่ม Quality Traffic.

 

ลอง ตั้งสมการนี้ดูครับ

( ลดหนี้ ) + ( เพิ่มกำไร ) = ( เพิ่ม Links ) * ( เพิ่ม Rank ) * ( เพิ่ม Search Impression ) * ( เพิ่ม Quality Traffic )

สมการ ฝั่ง ซ้าย = สมการ ฝั่งขวา หรือไม่ ?

ถ้าไม่ใช่ นั่นหมายถึง คุณทำ SEO ด้วยความหวัง ลมๆ แล้งๆ ว่า เราไว้ก็ดีกว่าไม่มี

ไอ้คำว่า “มีไว้ ก็ดีกว่า ไม่มี” มีเหมือน ใส่ “พระเครื่อง” แบบนั้น ผมแนะนำ ว่า ไม่เหมาะกับ Solution ของ Search Monopoly ครับ

สำคัญที่สุด มองว่า ระดับ Operation การทำ SEO ต้องสัมพันธ์ กับ กลยุทธ์ทางธุรกิจ

วิถีการทำงาน ที่ทำแล้ว มีความ แน่นอน ชัดเจน

ทำ SEO แล้ว รู้สึกไว้ใจกันได้ มีการเติบโตร่วมกัน เหมือนเป็น Business Partner กัน.

 

ถ้าทำแล้ว มีแรงเสียดทาน แล้วทำให้ระบบมันพัง

แนะนำว่า ลองเปลี่ยนเจ้าอื่น / ลองหา Solution ใหม่ๆ ดู

 

ทางฝั่ง SEO แต่ละ Service Provider แต่ละราย รูปแบบ Style การทำงาน ไม่เหมือนกัน

ให้เลือก สิ่งที่ใช่ แล้วมันจะโตไปทั้ง 2 ฝ่าย จะเกิด สิ่งที่เรียกว่า “ความยั่งยืน”

 

อย่าลืม สมการ ที่ผม ระบุเอาไว้ ด้านบน ให้ พิจารณา ด้วยความจริงใจ และมีสติ.

 

การพัฒนา Web Layout ด้วย CSS และ HTML วาง Icon Images

วิธีการปรับ CSS ให้กับ Background ของ WordPress และวาง Layout ให้ตอบสนอง กับ SEO อย่างมีคุณภาพ ถือเป็นงาน On-Page ที่ทำได้ไม่มีวันจบสิ้น ทาง Search Monopoly ได้สร้างชิ้นงาน อันหนึ่ง โดย มีการปรับ เนื้อหา หน้า Homepage ขึ้นมาใหม่ หลังจากที่เผชิญปัญหา เดียวกัน กับ นักพัฒนาเว็บ ค่าย WordPress ที่เผชิญกัน ก็คือ การนำ Theme ที่ซื้อมาใช้ แต่ Theme ไม่ตอบสนองกับ Web Server ผู้ให้บริการ ทำให้ Engine ทำงานหนัก แล้วเกิดสภาวะ เว็บล่มบ่อย จนทำให้ อันดับทั้ง เว็บไซต์ ตกลงมามาก อย่างที่ Search Monopoly เอง นั้นได้เผชิญอยู่

ปีนี้ และ ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ทาง Search Monopoly ได้นำเนิน นโยบาย ปรับแผนการพัฒนาธุรกิจ และ ปรับขั้นตอนการทำงาน ที่ให้ผลลัพธ์ได้ดีกว่า แล้วก็หา ตัวช่วย เครื่องทุ่นแรง อีกทั้งนำกระบวนการทำงานที่ลดขั้นตอน ที่สิ้นเปลืองออกไป แต่ยังคงช่วยเหลือพัฒนา ธุรกิจให้แก่ SME ที่มี ศักยภาพ ได้อยู่ โดยการ ลด Scale ของการจัด Event ที่สิ้นเปลือง และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ออกไป โดยมุ่งหวังเพียงแต่ กลุ่มบริษัท SME ที่มี Potential เท่านั้น และให้แต่ละทีม ทำงานร่วมกันได้ง่าย และยังส่งเสริมในการพัฒนา เครือข่าย การช่วยเหลือกันทาง การทำอันดับ และ ศึกษาการทำ SEO ทั้งสาย Technique และสายบริหาร ธุรกิจ

บทความนี้ เราได้ทำเป็นแผนงานเชิง Experiment โดยสร้าง Properties เพื่อการผลิต ชิ้นงานในส่วนของ Home Page เพื่อเป็นแนวทางให้กับ ผู้ประกอบการ SME ที่กำลังศึกษา การสร้างเว็บ ด้วย WordPress และสามารถ ทำ Landing Page ได้อย่างถูกต้อง ตรงตามหลักการของการทำ Conversion Optimization โดยเน้นการปรับ Key Messages ที่ลึกซึ้งและ การสื่อสารกับผู้ใช้งานในเว็บเรา ได้อย่างครบถ้วนและใช้งานง่ายกว่าเดิม

Specifications;
Color Scheme = “Orange Black Service icons”
Implementation = “text decoration css3” , “CSS text-decoration Property” , “Text Decorations

การตรวจจับ การลอกงานเขียนบทความ และ ผลกระทบทาง SEO

งานเขียนบทความ SEO ที่เราเห็นส่วนใหญ่ในบ้านเรา จะยังคงมี ปัจจัยความเสี่ยงในเรื่อง Duplicated Content แบบที่ ผู้ว่าจ้าง และ ผู้รับงานเอง ไม่ทราบเลยว่า พวกเขาเหล่านั้น กำลังทำผิดกฏ เรื่องของ Google Quality Content อยู่ และทำให้ ธุรกิจของคุณยิ่งเสี่ยง ต่อการถูกปรับอันดับตก แบบชนิดที่เรียกว่า “ร่วง ร่อง แร่ง” ไม่เหลือเค้าโครงของเว็บที่ทำอันดับที่ดีมาก่อนเลย

 

เทคนิค การตรวจสอบ หาการลอกงานเขียน เช่น

Sub-string Matching – เทคนิคการเช็ค อักษรตัวหน้า
Keyword Similarity –
Text Parsing –

การปรับทำโทษของ Google ในเรื่องของ Duplicate Content จะ Match ได้ง่ายกว่า
ส่วนการลอกเลียน และสลับบรรทัด จะใช้เวลานานกว่า สำหรับการทำงานของ Search Algorithm
งานเขียนคุณภาพ ที่เป็นของเทียม เลียนแบบ หรืองาน Re-Write บทความ ทำให้

งานแปลเอกสารมาจากภาษาอังกฤษ หากไม่ได้ถูกคัดกรองและเรียบเรียงใหม่ ก็ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยง ในการลดทอนทำอันดับ ใน Google ได้เช่นกัน

Text ที่อยู่ติดบน Search Engine แบบติดทนนาน คืองานเขียนที่กลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์ หรือมีความเป็น Specialise สูง ซึ่งทำเทียมได้ยาก และมูลค่างานเขียนนี้จึงสูงมากในท้องตลาด

นักเขียนคุณภาพ ที่เขียนบทความ SEO ได้จริงๆ จะมี Rate ค่าตัว บทความ $50 หรือ 1,750 บาท ซึ่ง ราคาพอๆกับงานเขียนที่ส่งสำนักพิมพิ์ ได้เลย

โดยเฉลี่ย Deal ที่ Search Monopoly ให้ Partner สายคุณภาพ ถ้าเป็นงาน และ จัดทำ Content ขึ้น Web Layout ได้จริง โดยไม่สูญเสีย Wasted Operation Time ในการ แก้ไขงาน จะอยู่ที่ 450 บาท นักเขียนที่มีความรับผิดชอบจริงๆ

ส่วนผู้เขียนบทความ SEO โดยทั่วไป เมื่อคุณได้ บทความพวกเขามา จำเป็นต้องนำมาตรวจสอบเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นแล้ว คุณจะต้องสูญเสียโอกาสการทำอันดับในระยะยาว เมื่อเว็บของคุณ ถูก suspensed ตรวจสอบค่า Confidence ว่าเป็นงานลอกเลียนเทียม

นักเขียนบทความ คุณภาพ ที่มีความเชี่ยวชาญสูง จะหาตัวยากในท้องตลาด เพราะ หาผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานเขียนบทความเฉพาะ ได้น้อยราย

ข้อแนะนำ ของ Search Monopoly
บริษัท ลงทุนจัดจ้าง นักเขียนคุณภาพ มาไว้ประจำที่บริษัท
เรียนรู้กระบวนการทำงานเขียนที่มีคุณภาพ จากผู้เชี่ยวชาญทางด้าน SEO
มีการเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ และ ให้เวลาพวกเขา ศึกษา Business ของคุณ อย่างเหมาะสม

การจัดจ้าง นักเขียนบทความ แบบ Low Profile จะยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงสูงยิ่งกว่า และ Text แบบใช้ Pattern เดิมๆ จะส่งผลเสียต่อการจัดอับดับของเว็บคุณ

 

การสลับบรรทัด ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับ หลอก Google

การเปลี่ยน คำ ไปมา ในหลายๆ Pattern ก็ไม่ใช่

วางยาพิษให้เว็บตนเอง ด้วยนักเขียน SEO

โอกาสทำอันดับที่ลดลง โอกาสการติด Google แย่ลง

คุณรู้ไหม ว่า Google มีวิธี บีบให้เรา ตายสนิท ในหลายรูปแบบ

การ Penalty ของ Google Search สมัยนี้ ไม่เหมือนเก่า

โอกาส Impression แสดงในกราฟ แต่ User มองไม่เห็น อันดับของคุณ

มีการแกว่งตัวสูง (Ranking Swing) จากการทำอันดับ SERP.

 

Plagiarism SEO

นิยาม ของงานเขียนคุณภาพ ในบริบท SEO

ความคลาดเคลื่อน และ เข้าใจผิด เรื่อง งานเขียนคุณภาพ

การจ้างนักเขียน ที่เรียกว่า “เขียนบทความ ที่มีคุณภาพ Unique SEO” แบบนี้ ให้ระวังก่อน

หากคุณ มองหา “นักเขียนบทความ SEO” และ เผลอคลิ๊กไป Deal ติดต่องาน คุณอาจพบปัจจัยเสี่ยงตามมา

นักเขียนคุณภาพ มาจากไหน ?

ปัจจัยอะไร ให้เกิดงานเขียนที่มีคุณภาพ ?

Plagiarism คืองานขโมยงานประพันธ์ ทุกรูปแบบ และใช้ในวงการวิจัย หรืออาจจะหมายถึง การใช้ การผลิตของผู้อื่น โดยไม่ได้ให้เครดิต ของแหล่งที่มานั้นๆ

ประเด็นที่ Search Monopoly พบอยู่บ่อยๆ คือนักเขียนบทความ SEO ในเมืองไทย ไม่ได้รับโอกาส ให้เกิดการจัดจ้าง นักเขียนที่มีคุณภาพ เนื่องจาก สภาพตลาด

นักเขียนบทความคุณภาพ หรือ Unique Content ยังมีจุดบกพร่อง บางจุด โดยที่เห็นได้ชัด คือเรื่องของ การเข้าใจ หน้า Layout ของลูกค้า หรือการจัดวาง Flow ของเนื้อหา ที่จะนำมา พัฒนา Webpage ให้สอดรับได้ดีกับ เว็บของลูกค้า

นักเขียนบทความ ยังไม่มีการจำแนกประเภท และ ค่าตัวที่ชัดเจน จึงหาข้อสรุปในเรื่อง คุณภาพ และการเปรียบเทียบราคาได้อย่างเหมาะสม

 

 

Search Monopoly มีแนวทาง ของงานเขียน งานประพันธ์ ทุกชิ้นงาน ที่ไม่ได้มาจาก การผลิตงานซ้ำๆ จากที่อื่น และเรามีนโยบายการจัดหา แหล่งที่มา ที่ละเอียด แล้วไม่เร่งรีบ มีตัวช่วยในการทุ่นแรง ด้วยมันสมองของมนุษย์จจำนวนหลายๆคน ทำให้งานดำเนินการได้ง่าย และ ตอบโจทย์กับธุรกิจขนาดใหญ่

เราทำงานด้วยระบบตัดเหมา และ มีความคล่องตัวสูงกว่า นั่นจึงเป็นที่มา ว่าทำไม ลูกค้าจึงเลือกใช้งาน คุณภาพจากเรา

 

 

เนื้อหาแนะนำ >

  • บทความ seo คืออะไร ? อย่างไนถึงจะเรียกว่าบทความ SEO
  • การตรวจ SEO ของเว็บไซต์ของเรา
  • การเช็คอันดับ SEO ทำอย่างไร ?
  • การตรวจสอบว่าเว็บเรา โดน Google Penalty หรือไม่

 

 

คำค้นหา: SEARCH, SEMANTIC, Lexicon, Relevance, text, document in web page, detect Plagiarism

การทำ SEO เสมือนการ บ่มไวน์ เก่าๆ คุณภาพดีๆ แล้วผลลัพธ์ จะดีเอง

บทความนี้ เขียนเพื่อ อธิบายผู้ประกอบการ ที่จะศึกษาการทำ SEO ด้วยตนเองบ้าน หรือ อยากจะจ้างผมทำ SEO บ้าง หรือกำลังมองหาคนรับทำ SEO มืออาชีพ ที่เชื่อถือได้จริงๆ เรียนเชิญ ลองศึกษา จาก บทความนี้ก่อนครับ

เมื่อคุยกับ ผู้ประกอบการ 100 คน จะมีแค่ 1 – 3 คนเข้าใจเรื่อง การทำ SEO แบบจริงจัง และทำได้จริง

เพราะว่า สิ่งที่ 99-97 คน ต้องการ คือ ต้องการ ทำเงิน พวกเขาไม่ต้องการทำ SEO และ เขาเพียงคิดว่า SEO คือเครื่องมือทางลัด ที่ทุ่นงบประมาณ ในการทำ Ad โฆษณา ทางช่องทางอื่นๆ ซึ่ง แนวคิดก็ผิดแล้ว — หลักการง่ายๆ Google Search Engine ต้องการ เว็บที่มีคุณภาพ มีแหล่ง อ้างอิง ถึง Link ดีๆ และ แหล่ง Backlink ที่เราได้จากหน้าเว็บเพจต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่มาจาก Content Marketing สาย ว๊าวๆ — SEO ไม่ว๊าวครับ เพราะเน้นทำคุณประโยชน์ การผลิตชิ้นงาน SEO 1 ชิ้น ใช้กระบวนการทำงานที่ยาวนาน ต่อเนื่องกันมาหลายปี ถ้าแผนการตลาดของคุณ มีแต่เรื่อง ปั๊มยอดขาย ก็ขอให้ลืม SEO ไปได้เลย ให้ไปทำ โฆษณา ลง Ad เยอะๆ แล้วก็กระอักเลือดตายไป แบบนั้น เหมาะสมกับนักธุรกิจอย่างคุณ

 

การทำ SEO ก็เสมือนการบ่มไวน์

เคยสังเกตไหมครับ ทำไม ไวน์ บางขวด ราคาขวดละ 150,000 บาท และทำไม ไวน์ OTOP ทั่วๆไป ราคาขวดละ 199 บาท ?

การทำ SEO ก็เหมือนกันครับ มันต้องการ ที่ดิน ทำเลดีๆ ในการจัดวาง และการสร้าง web authority ที่ดี มีอะไรมากกว่า Technical SEO

การทำ SEO ใช้ ศิลปะ และ พลังภายในที่ไม่เหมือนใคร และไม่สามารถเอาใครมาทำก้ได้ง่ายๆ และหาตัวจับยากในตลาด เนื่องจาก ส่วนใหญ่ คนที่รับทำ SEO หลายๆท่าน ก็ไม่อยากเสียเวลาทำงานคุณภาพ ให้ลูกค้า ใช่ไหมครับ ? เพราะ หลายปัจจัย และสิ่งที่เจอเหมือนๆกัน คือ เจ้าของ เว็บที่อยากทำ SEO ไม่มีความเข้าใจ จนนำเพื่อให้ไปถึง การสร้างหน่วยงานระบบที่มีรูปแบบการผลิตงานคุณภาพสูงได้ หรือการทำ SEO โดยใช้ Operation จากภายในได้จริงๆจังๆ

ในตลาด Online มีพวก ฉาบฉวยเยอะมากครับ และ หากคุณเป็นผู้รับทำ SEO เอง ก็ต้องคัดดีๆ แล้วชีวิตจะดีตามครับ

  • เราทุกๆคน ยังขาดความเข้าใจ เรื่องกระบวนการ การทำ SEO ที่ถูกต้อง และ ทำแบบเป็นขั้นเป็นตอน
  • เราจะเข้าใจ Concept คร่าวๆ และง่ายๆ แบบเร่งด่วน คือ สร้าง Link และ มองหาแต่ Ranking
  • เราจะไม่เข้าใจ การทำ Link เชิงลึก ที่ได้ผลจริงๆ และยั่งยืนกว่า หรือการทำ Direct Link แบบยาวๆ ที่ ต่อรองกันยาวนาน 3-5 ปี
  • เราขาดความสม่ำเสมอในการดำเนินงาน เพราะว่า ขี้เกียจ และใจไม่ได้รักแนวทางแบบนี้

ผมแนะนำว่า ใครไม่พร้อม ลงมือปฏิบัติ ก็อย่า ริอาจ ทำ SEO ครับ

ส่วนใครเริ่มต้นศึกษา ให้ดูว่า SEO คืออะไร และ พยายาม ทำความเข้าใจ กระบวนการทำ SEO แบบจริงจัง ก่อนตัดสินใจ

 

SEO กับ เจ้าของธุรกิจ ก็เหมือนจับมาแต่งงานกัน

สำหรับ Search Monopoly ที่เรามี Positioning ชัดมากๆ เรียกได้เลยว่า ทำไม เป็น บริษัท SEO ที่เลือก ลูกค้า และ ทำไม ลูกค้า ไม่มีสิทธิ์เลือกผม (เขียนใน : มาตรฐานการทำงาน)

ขอยกเหตุผลนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ครับ ในวงการ SEO มีทั้งระบบ SEO ที่ทำแบบ Automation โดยใช้เครื่องมือ ทั้ง กึ่งอัตโนมัติ และ ระบบ SEO ที่ ออโต้ทั้งหมด

พวกนี้ หากเรียกแบบ ไม่เกรงใจกันก็คือ Spam นั่นแหละครับ แต่ยังมีคนเชื่อในพลัง PBN + Spam Low Quality Text + Massive Backlink กันอยู่อีกมาก

พวกนี้ ระยะหลังๆ จมกองเลือดกันหมดแล้ว เพราะว่า Google สามารถ ทำความเข้าใจ Pattern ของการเกิด Spam Network ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะของไทย ที่มีระบบ Spam ล้าหลัง ล้าสมัย มันเลย digging และ text mining ได้ง่ายมากๆ เข้าดักจับ กลยุทธ์โง่ๆ แบบนี้ มาตั้งแต่ ปี 2006 ปีนี้ 2017 และ 2014 มี ฮัมมิ่งเบิร์ดแล้ว และ ปีต่อๆไป เน้น User Retention และ เน้น Platform ใหญ่ๆ ที่มี Link Authority สูงๆ

 

มีพวก โง่ + ล้าหลัง จำนวนมาก
ที่ไม่เคยสนใจ พัฒนา Authority หรือเครือข่ายคุณภาพสูง

 

SME สาย ขาวสนิท ที่ทำ เรื่อยๆ เปื่อยๆ กลับมีอันดับสูงกว่า ใน Google Search Engine มากกว่า พวกไปจ้าง SEO มาทำ PBN หรือ ทำ Text ขยะ

แต่ก็ยังมีคนยัง ยินดี และ ยินยอมเป็นเหยื่อ ของการทำ SEO ด้วยความเชื่อ แบบ หลง งมงาย และขุดให้เข้าใจยากยิ่ง ยิ่งหมดหัวลงดำดิ่มเข้าสู่ ตมโคลน ในก้นหนองบึง….

 

อะไร ที่มี ประโยชน์ เป็นจุดขายที่ดีของเรา ใส่ไว้ใน Web page สิครับ

เอาเป็นว่า พอมีเว็บ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ มีไฟเต็มพิกัด อยากจะอวดของ และ ด้วยความมั่นใจว่าสินค้าเราดีจริงๆ สิ่งที่พวกเขาทำ หลักๆ คือพยายาม ยัดเยียด ขายของให้กับคนที่เข้ามาเจอพบเห็นหน้าเว็บเรา

แต่มุมมอง ของลูกค้า ไม่ใช่แบบนั้นครับ

อันดับแรก – การผลิตเนื้อหา แต่ละหน้า ใช้เวลาผลิตอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
กว่าจะได้เว็บที่มีคุณภาพสูง เราต้องเรียนรู้กระบวนการว่า ตลาดเขาต้องการอะไร ? ความชัดเจน ของเนื้อหาเรา บวกกับประสบการณ์ ในการขายของ และ กระบวนการทำงาน จะขึ้นมาอยู่ในหน้าเว็บเราเอง

พวก เอเย่นหัวใส บอกว่า ทำเว้บขายของ รวยว๊าวได้เงินล้าน ภายใน 14 นาที
ไอ้พวกนี้ไม่เข้าใจหรอกครับ พวกนี้เขารอดักฟันราคา ตีหัวเข้าบ้าน ปั๊ม Ad โฆษณา มาขายเว็บขายฝันให้คุณหลงไปเป็นลูกค้าเขาง่ายๆ ไงครับ
คิดในมุมย้อนกลับให้ดี พวกที่รับทำเว็บ เจ้าใหญ่ๆ ที่ชอบ อวดว่าฐานลูกค้า มากกว่า 50,000 ราย เคยไปดูเนื้อในเขาไหมครับ มีเว็บตายๆ ออกไปจากตลาด จำนวนกี่เว็บครับ ??

 

อยากได้ของดี หาทีมงานที่มีคุณภาพครับ

การทำ เนื้อหา และจุดขาย ไม่ใช่จบที่งานทำเว็บครับ แต่เป็นเรื่องการจัดทำเนื้อหา ระยะยาวววววว…..วว….. วว นาน มากๆครับ ทำกัน 5 ปี ก็ไม่เสร็จ
ไอ้ที่ไม่เสร็จนี่ คือมีการเติมเต็มมาตลอด การพิมพิ์เนื้อหาเพิ่ม ต้องอาศัยการประชุมทีมงาน และ คุยกับเจ้าของกิจการ โดยต้องมีนักวิเคราะห์การใช้งาน
หากทำแบบ Full Team คุณต้องมีงบประมาณ รายเดือน เลี้ยงทีมงานมืออาชีพ จำนวน 3,500,000 บาท อันนี้รวมค่าโปรโมตไปแล้ว
หรือน้องๆ ทีม In House เก่งๆ ก็ต้องใช้ Budget ราวๆ 3แสนบาท อันนี้ไม่ได้ปั้นตัวเลขเองนะครับ
UX ชั้น เซียน 1 คน ค่าตัวเขาก็ 400,000 บาทต่อเดือนละ
เอาเงินที่ไหนไปจ้างครับ

 

มันต้องช่วยๆ กันเก็บเล็กผสมน้อย บางที จ้างเขามาปรับ หรือมาเป็นที่ปรึกษาได้ แบบช่วยๆส่งเสริมกันไป หาตัวที่ลงมือ ปฏิบัติงานได้จริง
ทางทีมงานของ Search Monopoly จะมีเครื่องมือตรวจจับ Usability ที่ช่วยผู้ประกอบการ วัดผล Effectiveness ของกระบวนการทำงานและ Outcomes ผลลัพธ์ทางการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ได้อยู่แล้ว

 

และที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ก็ทำลึกในระดับ วัด Ad Effectiveness ซึ่งจะไม่มี เอเย่นโฆษณา เจ้าไหน มาหลอกขายงานคุณ โดยล่อให้คุณ หยอด Budget ที่สิ้นเปลืองได้ เรารู้หมด และเราสามารถช่วยปรับ Utility cost ที่เหมาะสมกับ ชุดเทคนิคการขายนั้นๆ ได้อย่างสมเหตุสมผลครับ

 

สิ่งที่ที่มีการพัฒนา สิ่งนั้นควรจะวัดผลได้

Lord Kelvin from Wikipedia
หากคุณไม่สามารถวัดผลมันได้, คุณจะไม่สามารถพัฒนามันให้ดีกว่าเดิมได้ — Lord Kelvin

เราไม่ควร ทำการตลาดออนไลน์ แบบ ไร้ทิศทาง หรือ หว่านไปเรื่อย เพื่อปั๊มยอดขาย เพราะทำอย่างไร คุณก็มีแต่กระอักเลือด แนะนำว่าหา Business Partner ในทางออนไลน์ ที่มีวิสัยทัศน์ และกระบวนการพัฒนางานที่ยั่งยืน มาช่วยสอดประสานกัน ต้นทุนจะลดลงมากๆ ในแบบที่ผูกขาดตลาดได้ครับ

 

การบ่มไวน์ ที่ดี ใช้เวลานาน และ ค่อยๆ เติบโตไปกับ ธุรกิจนั้นๆ

เหมือนใน บทเพลง ของ FRANK SINATRA ชื่อเพลง IT WAS A VERY GOOD YEAR ที่มีกล่าวไว้ ในช่วงท้ายๆ เกี่ยวกับไวน์เลิศรสคุณภาพเยี่ยม


บทเพลงนี้ ส่งผ่านให้คุณได้เรียนรู้ ตั้งแต่ คนหนึ่งคนที่อายุ เริ่มตั้งแต่ 17 ปี ไปจนถึง 35 ปี เทียบกับไวน์ และ ประสบการณ์ ชีวิต ที่เขาได้เจอสาวๆ ในแต่ละช่วงชีวิต และเป็นปีที่ Good Year นั่นเอง

ผมเลยอยากฝาก สำหรับผู้ที่จะเข้ามาทำ SEO ให้มองการ setup แผนการทำ SEO ในระยะยาวๆ แบบ 3 – 5 ปี ว่าจะได้อะไร
ไม่ใช่การสร้างยอดขาย ภายใน 3 เดือนแรก แบบนั่น ทำเท่าไหร่ ก็ยากที่จะสำเร็จ

หากคุณสนใจ บริการ รับทำ SEO ของ Search Monopoly ให้ศึกษาที่ [service / seo] 

[จ้าง] นักเขียน บทความคุณภาพ แนววิชาการ วิเคราะห์ (15 คนเท่านั้น)

โครงการ นักเขียน SEO ลูกเจี๊ยบ อยากเป็นนักเขียน หัดเขียน

รับสมัคร นักเขียน BLOG ที่ชอบเขียนงานออกแนววิชาการ ใช้ศัพท์เทคนิคเก่งๆ

ต้องการ นักเขียน บทความครับ อ่านง่ายๆ แต่มีสาระน่าติดตาม ที่สามารถผลิตงานเขียนได้อย่างน้อย เดือนละ 4 ชิ้นงาน
[[มีการจ้างระยะยาวครับ อนาคตมีอีกหลายงานให้ทำครับ]]

#นักเขียนมือสมัครเล่น หรือ #บรรณารักษ์ ที่หรือ คนทั่วๆไป ที่มีใจรักงานเขียน สนใจ เขียนบล๊อก สาระทั่วไป เป็นงานเขียน เชิง Technical หรือ ให้ความรู้ ไม่ใช่งานค้าขาย
ตัวอย่าง หัวข้อ เช่น
“ทำไมหัวใจจึงหยุดเต้น หรือ เต้นผิดจังหวะ?”
หรือว่า
“ตำนาน โรมัน จักรวรรดิ์ ล่มสลาย ด้วยปัจจัยอะไร ?”

มีค่าตอบแทน เป็นเรื่องค่าเสียเวลาให้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ที่สนใจสนใจ และ ชอบงานเขียน บทความที่ให้ประโยชน์ หรือ ให้ความรู้คน โปรดติดต่อทางเฟสบุ๊คตาม LINK ด้านล่าง

ทักผมมาทาง Messenger ครับ FB: Palawast Jeamsaard

จำนวน นักเขียน ขาจร ที่เราต้องการ

เราต้องการ จำนวน 15 ท่าน ขอท่านที่ ทำงานเขียนส่งได้เรื่อยๆ
เรากำลังพัฒนา บล๊อกที่มุ่งเน้นให้ความรู้ทางวิชาการอยู่
ทำงานที่บ้าน หรือ ที่ทำงานก็ได้  😀 😀

รายละเอียด จำนวนงาน ที่ต้องทำ

1.) เขียนงาน ให้ได้ อย่างน้อย เดือนละ 4 บทความขึ้นไป

จำนวนงานที่เราอยากได้ ต่อ 1 คน = 1 บทความ ดีๆ ต่อวัน

ลักษณะงานเขียน รายละเอียด เกี่ยวกับงานเขียนบทความ

  • ไม่ใช่งานเขียนโปรโมตสินค้า
  • ไม่ใช่งานหน้าม้าอวย Brand
  • ไม่ใช่เรื่องเขียนเชิงพานิชย์ หรือขายของ

=========================

 นักเขียน

คุณสมบัติ นักเขียน ที่เราต้องการ

เราต้องการ นักเขียนที่มีคุณสมบัติดังนี้

  • ชอบเขียนเล่าเรื่องประสบการณ์ และให้ความรู้ที่น่าสนใจ
  • เขียนงานแบบเชิงวิชาการได้ ชอบอ่าน WikiPedia
  • เขียนงานละเอียด ไม่เผางาน
  • ชอบเขียนงานที่ค้นคว้าจากหลายๆแหล่ง
  • มีจิตวิญญาณ เป็นนักเขียนที่ดีอยู่ในตัว
  • เป็นคนชอบนอนดึกๆ หมกมุ่นกับการอ่านเรื่องราวแปลกๆ ใน Internet
  • มีใจรัก ทำหนังสือทำมือ
  • ชอบเขียนงานเชิงวิชาการ
  • งานเขียนที่หลากหลาย อ่านแล้ว น่าติดตาม ให้แง่คิด
  • ผลงานล้วนมาจากแรงบันดาลใจ
  • อยากเป็น BLOGGER ชอบเขียนเพลินๆ
  • เขียนบทความที่เน้นให้คนมาอ่าน
  • อ่านแล้วได้ความรู้เชิงลึก
  • แปลงานเขียนจาก Journal มา support งานเขียน หรืองานค้นคว้าของตนเอง จนเป็นบทความที่มีคุณภาพได้

 

[มีการสอนงานให้]
ขอนักเขียน ที่ชอบงานเขียน ที่น่าอ่าน น่าติดตามครับ
ใครชอบงานเขียน ลอง ติดต่อผลงานมาได้ ที่ เฟสบุ๊คนะครับ
ทักผมมาทาง Messenger ครับ FB: Palawast Jeamsaard

Scope แนวทางการเขียน

งานเขียน ใช้ creative สังเคราะห์ออกมา วางแนวได้เอง มีความเป็นมืออาชีพ ในงานเขียน สามารถพัฒนางานเขียน ให้มี ลักษณะจำเพาะ และ ทำงานได้ต่อเนื่อง มีการเขียนที่น่าติดตาม

เรื่องคำค้นหา นักเขียน สามารถ สร้างงานเขียน ที่อ่านแล้วดูลึกไม่ตื้น ไม่ใช้คำสิ้นเปลือง

เนื้อหา เป็นงานเขียนที่มี ลักษณะ Niche ไม่เหมือนใคร ประมาณนี้ครับ

ใส่เพิ่มเติม คือ หาแหล่ง Research แล้วทำให้เป็นเนื้อหา เชิงวิชาการ เข้าไปด้วย

แนวจิตวิทยา // สร้าง ความน่าสงสัย และ น่าค้นหา
How to // แชร์ ประสบการณ์
วิเคราะห์ + วิจารณ์
มี คำศัพท์เทคนิค ที่เรา research เชิงลึก
เชียนเชิง วิชาการได้
อ่านแล้วน่าขบคิดตาม
มี Headline ที่น่าสนใจ
มี outline ที่ลึกเข้มข้น ทำให้อยากอ่าน เนื้อหา
เขียนเชิงปรัชญา ให้แง่คิด
เขียนเรื่องแปลกแหวกแนว Sci-Fi, ลัทธิทางการเมือง เรื่องทางสังคม โดยงานเขียน จะเป็นบทวิจารณ์ ที่ดุเด็ดน่าคิดตาม
ตั้งคำถามทางสังคม สิ่งดี สิ่งร้าย การมองแบบกลางๆ ให้ทัศนะคติ ที่น่าหลงไหล

 

 

 

ลักษณะแนวทางเขียนบทความที่นักเขียนต้องพึงมี

เป็น บทความที่เขียนง่ายๆ แต่ให้ข้อมูลเชิงเทคนิค และ เทคนิคการเล่าเรื่อง ที่น่าอ่านครับ มีการ หาภาพ ที่ไม่ละเมิด ลิขสิทธิ์ มาลงด้วย เพื่อประกอบการบรรยาย
ทำเนื้อหา เพลินๆ เขียนตามใจเราได้ครับ แต่จะมี Scope ของ การเล่าเรียง แต่ละ BLOG ว่าจะลงเนื้อหาประมาณไหน

 

มาตรฐานเนื้อหา ต่อ 1 บทความ

1 บทความ ประมาณ 1.33 – 1.5 หน้ากระดาษ A4 (1,900 – 3,150 ตัวอักษร รวมเว้นวรรค)
ใช้คำกระชับ ไม่เล่นคำสิ้นเปลือง เล่าจากประสบการณ์ ที่อยากเล่า ใครที่เขียนแต่น้ำๆมา ใช้คำสิ้นเปลือง เราจะระงับการป้อนงานให้ทันที 
ต้องมีความเป็นมืออาชีพ เขียนสนุก อ่านน่าติดตาม

งานนี้เหมาะสำหรับ นักเขียน มือสมัครเล่น และ มืออาชีพ ที่อยากลับคมฝีมือสนุกๆ
มีแค่ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ เป็นการตอบแทน สำหรับ โครงการนี้ครับ

[ประโยชน์ ในอนาคต]
อนาคต คนที่รับโครงการนี้ และ ดูมีแวว คุณจะสามารถ รับงาน ใหญ่ๆ ในอนาคตได้
คราวที่แล้ว ปิดไป 1 ท่าน รับคนเดียว 100 บทความ 30,000 บาท
บางโปรเจค ใครนำเสนอ เนื้อหา ได้ละเอียด ก็จะได้รับงาน Advertorial ดีๆ
ซึ่ง ได้บทความละ 1,500 บาทครับ

 

คำถามที่พบบ่อย

คำถาม แหล่งที่จะให้โปรโมต
เราจะมีทีมช่วยเหลือ จัดหาให้ครับ

คำถาม  – เนื้อหา งานเขียน ให้ Focus ไปที่ใด

สิ่งที่เราอยากให้เขียน
1. เขียนเกี่ยวกับ เรื่อง เงิน การลงทุน รูปแบบของเงิน ที่เกี่ยวกับ สังคม การเงิน หรือประเด็นที่น่าสนใจ ให้ขบคิด เกี่ยวกับ เงิน
2. เขียนเกี่ยวกับ เรื่อง เทคนิค งานก่อสร้าง อุตสาหกรรม การผลิต เคมี การสร้างบ้าน เทคนิค การต่อเติมบ้าน สถาปัตยกรรม โบราณคดี
3. เขียนเกี่ยวกับ เรื่อง ท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรม ในประเทศต่างๆ และ เทคนิค การพัฒนา โรงแรม ให้น่าอยู่
4. เขียนเกี่ยวกับ เรื่อง Research ทางด้านสุขภาพ และโรคภัยไข้เจ็บ ที่เป็นข้อมูลเชิงลึก ที่น่าเชื่อถือ ในบริบทต่างๆ
5. เขียนเกี่ยวกับ เรื่อง Research ทางด้านความงาม นวตกรรมความงาม ที่เอามาจากบทวิจับทางสถาบันต่างประเทศ ที่น่าเชื่อถือ

 

คำถาม จำกัดเรื่องของบทความและระบุจำนวนคำในบทความ ( กำหนดคำไหมว่าต้องการ กี่คำ )
จะมีตัวอย่าง ที่ผ่าน ราวๆ 1-1/3 ของหน้ากระดาษ A4 font Cordia 14 ครับ

เรา ไม่ได้กำหนดคำ ว่าต้องเท่าไหร่ เรากำหนด ขีดเส้น มาตรฐาน การเขียนงาน 1 ชิ้น จำนวนคร่าวๆ โดยเฉลี่ย
3,150 Characters รวม Space แล้ว หรือ ประมาณ 1 หน้า A4 + 1/3 หน้า A4 ครับ

งานเขียน จะต้องไม่มีลักษณะ ใช้คำฟุ่มเฟือย ที่หาสาระไม่ได้ การดำเนินเรื่อง น่าสนใจ น่าดึงดูดให้ศึกษา
ข้อมูล เป็นข้อมูล เชิงลึก ที่เราทำการ Research มาอย่างดีแล้ว ประเด็น Headline มีการวาง Plot มาแล้วอย่างดี มีความปราณีตในการทำงาน งานทุกชิ้น จะถูกส่งให้กับผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานเขียน งานอักษร
ผลงานที่ไร้คุณภาพ และ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้มีประโยชน์กับผู้อ่าน จะถูกระงับ การว่าจ้างทันทีครับ

เมื่อผ่านการทดสอบ และการส่งตัวอย่างงานแล้ว เราต้องการ บทความ เขียนประมาณ 1,900 ตัวอักษร แบบรวม space เว้นวรรคแล้วครับ

 

คำถาม ต้องมีภาพประกอบบทความด้วยไหม
ต้องมีครับ โครงการนี้ เราผลิต Blogger ที่เข้ามาเสมือนเป็นเจ้าของ Blog นั้นๆ
ในระยะเวลาที่ผ่านไป สำหรับ Blogger ที่ทำให้ Blog เติบโตได้ และเลี้ยงดูมันอย่างดี สามารถ ต่อยอด หลายอย่างได้ จากการช่วยเหลือของผม

คำถาม มีสอนงานให้คือสอนทุกเรื่องเลยใช่ไหม
สอนหลักๆ คือ การพัฒนาบทความ เทคนิคการโปรโมตเว็บ และ งานเขียนที่มีมาตรฐาน รวมถึงการวางรูปและตัดภาพลงเว็บครับ

 

คำถาม – ความเป็นเจ้าของ ผลงาน ที่ผ่านการพิจารณา ถือเป็นผลงานของใคร ผู้เขียน หรือ ผู้ว่าจ้าง ?
ผลงงาน ทุกผลงาน เป็น ลิขสิทธิ์ ของผู้ว่าจ้างทุกกรณี
หากคุณสนใจ พัฒนาผลงานที่มีลิขสิทธิ์ คุณต้องทำสัญญา กับเรา เพื่อเขียนงานเฉพาะทางด้านการตลาด และ ยอมรับเงื่อนไขการผูกขาดทั้งหมด จากเรา

นักเขียน สามารถสร้างผลประโยชน์ จากงานเขียนที่มีคุณภาพ เมื่อ Blog ของเรามีการเติบโต ด้วยผลงานของนักเขียน นักเขียนแต่ละราย จะได้ ผลตอบแทนที่ไม่เท่ากัน ตามแต่สภาพ และ โอกาส ของตลารดที่มีเข้ามา และท่านสามารถ ใช้ Blog ของเรา มาใช้งานในธุรกิจบางประเภทได้เช่นกัน เป็นการ Deal เฉพาะตัวบุคคล เราจะพิจารณา จากความสม่ำเสมอ และ ความสามารถในการดูแล Blog ของเรา ซึ่งให้ท่านเรียนรู้ การพัฒนาตัวเองจาก นักเขียน ขาจร เข้ามาเป็น Blogger ภายใต้สังกัดของเรา และ ยอมรับข้อผูกมัดเรื่องการเขียนงาน ในเครือข่ายของเรา

 

คำถาม – เรื่องของเวลา (Time) กำหนด วันเวลา ในการ ส่งงาน หรือไม่
นักเขียนเป็นผู้กำหนด อาทิเช่น
นักเขียน สามารถ ผลิตผลงานได้แค่ 1 ชิ้น ต่อ 7 วัน ก็ให้ส่งมาแค่ 1 ชิ้น ต่อสัปดาห์
นักเขียนสามารถ ผลิตผลงานได้แค่ 1 ชิ้น ต่อ 14 วัน ก็ให้ส่งมาแค่ 1 ชิ้น ต่อ 2 สัปดาห์
นักเขียนสามารถ ผลิตผลงานได้แค่ 1 ชิ้น ต่อ 30 วัน ก็ให้ส่งมาแค่ 1 ชิ้น ต่อ 4 สัปดาห์
นักเขียนสามารถ ผลิตผลงานได้แค่ 2 ชิ้น ต่อ 1 วัน ก็ให้ส่งมาแค่ 2 ชิ้น ต่อ 1 วัน

นักเขียนคือผู้กำหนด เราให้งานนี้เพื่อหานักเขียน ที่เอาเวลาว่าง ของชีวิต เอามาแปลงเป็นเงิน นักเขียนแต่ละคน สร้างเงินได้ไม่เท่ากัน
เราไม่ได้บังคับให้นักเขียน ต้องสร้างกี่ชิ้นงาน เพราะมันคือ เวลาของนักเขียนเอง ที่เขามี แต่ละคนมีชีวิต และ ความเชี่ยวชาญที่ต่างกัน

สิ่งที่สำคัญกว่า : นักเขียน ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ ได้ สัญญาในเรื่องเวลา และ ชิ้นงานที่จะกำหนดส่ง ให้ครบตามจำนวน
เราจะไม่มาตามผลงานเขียน นักเขียน ที่ไม่มีความต่อเนื่อง จะทำให้เรา เสียต้นทุนในการติดตามงาน เราจึงขอ ระงับ การป้อนงาน สำหรับนักเขียน ที่ไม่มีความสม่ำเสมอ

*** การ commit เรื่อยเปื่อย สำหรับนักเขียนบางคน เป็นประสบการณ์ ของเรา ที่เป็นอุปสรรค ของการพัฒนาโครงการ เราจึงขอสงวนสิทธิ์ ระงับ การจ้างงานกับนักเขียนที่ ขาดความสม่ำเสมอ และ มีความน่าเชื่อถือทางด้านเวลา, การนัดหมายต่ำ

คำถาม – ไม่จบ ป. ตี สามารถรับงานเขียนได้ไหม ?
คำตอบ
เราพบว่า คุณค่าของคน อยู่ที่ ตัวบุคคลนั้นๆ งานเขียนที่ดี มาจาก การฝึกทักษะ และ คนที่ชอบศึกษา สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว
เราเคยใช้ งาน คนที่เรียนจบ ป. ตี หลายๆ คน พบว่า การศึกษาไทย ไม่สามารถเอามาเป็นตัวบ่งชี้ ทักษะงานเขียนที่ดีได้เลย
เราจึงไม่ เอาเรื่อง ระดับการศึกษา มาเป็น เส้นขีดจำกัดของการทำงานลักษณะนี้ครับ

 

กฏการทำงานต่างๆ โปรดอ่านที่นี่นะครับ

การแจ้ง นัดมอบชิ้นงาน ให้แจ้งดังนี้ — >

แจ้ง เป็น วันที่ / เดือน / คศ วันในสัปดาห์ และ เวลา นาฬิกา ที่จะส่ง ให้ละเอียด

นักเขียน และ ผู้สมัคร ต้อง ระบุ วันส่งงาน ทั้งตัวอย่าง และ ชิ้นงานทุกชิ้น ในระยะเวลาที่แม่นยำ

เราต้องการทีมที่มีคุณภาพ นักเขียนควรมีความเอาใจใส่เรื่องการเขียนบทความ และ ทำเป็นพฤติกรรมอยู่แล้ว

นักเขียนที่ไม่สามารถระบุ วันกำหนดส่งที่ชัดเจนได้ เราขอสิทธิ์ในการระงับการจ้างงานเขียนนะครับ เพราะ เอาแน่เอานอน ไม่ได้ และผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ เราจึงขอ คนที่ทำงานนี้ได้ อย่างสม่ำเสมอจริงๆ

 

การแจ้งที่ผิด

ประมาณพรุ่งนี้เย็นๆ
หรือ น่าจะสัก สัปดาห์หน้า

การแจ้งที่ถูก
จะส่งภายใน วันเสาร์ ที่ 11 / Nov / 2017 เวลา 21.00 น.

การส่งชิ้นงานที่ช้ากว่า การแจ้งนัดหมาย จำนวน หลายครั้ง เมื่อเราพิจารณาว่า นักเขียนคนนั้น ไม่สามารถคาดหวังการทำงานกับเราได้ เราจะระงับงานที่ให้ และคุณจะไม่มีโอกาสได้ร่วมโครงการกับเราอีก

 

สิ่งที่ต้องทำ หากต้องการรับงานเขียน

  1. ให้ทำตัวอย่าง งานเขียนบทความ โดย Download เอกสาร Technical Writing เป็นเอกสาร PDF โดยขอได้ที่ เฟสบุ๊ค Palawast Jeamsaard
  2. ให้แจ้ง กำหนดวันที่จะส่งมอบ งานตัวอย่าง งานเขียน จำนวน 1 บทความ โดยใช้ตัวอักษร ไม่ต่ำกว่า 3,200 ตัวอักษร
  3. เขียนงาน ลงใน เอกสาร Microsoft Word โดยใช้ Font cordia ขนาด 14 และเขียนคำให้ได้ 3,200 ตัวอักษรขึ้นไป

โปรดติดต่อสอบถามที่ Message ในแฟนเพจนะครับ

ทักผมมาทาง Messenger ครับ FB: Palawast Jeamsaard

STEP การรับเข้าทีมนักเขียน

STEP ที่ 1 รับการบ้าน ไปเขียนตัวอย่างมา 1 ชิ้นงาน

เอกสาร งานเขียน ไปศึกษาก่อน 1 ชิ้น   แล้วให้ลอง เขียนงานส่งมา 1 บทความ ทางเราจะตรวจสอบความถูกต้อง และ ทักษณะ การเขียน

หากได้เอกสาร วิธีการสร้างงานเขียนแล้ว ให้ส่งตัวอย่างกลับมาที่นี่ ภายใน 3 วัน 

ผมจะทำการตรวจสอบให้ และให้ทีมงานช่วยกันดู ว่า ผ่านเกณฑ์ หรือไม่
ถ้าหากผ่านและเข้าใจกระบวนการทำงานเขียน เราจะ ให้ดำเนินการทำงานเขียน ได้เลยครับ

โปรด Download เอกสาร PDF. ให้คุณสามารถ ขอได้ที่นี่ FB: Palawast Jeamsaard

STEP ที่ 2 ให้แจ้ง เจ้าของ โครงการใน Facebook 

หลักจากที่นักเขียน ได้ Download เอกสารใน PDF เข้ามาศึกษาแล้ว ให้แจ้งต่อ เจ้าของโครงการ ว่าสามารถทำงานลักษณะนี้ได้หรือไม่ หาก ไม่มีการแจ้งกลับ เราจะทำการระงับ การติดต่อ จากผู้นั้น หลังจาก 3 วัน เพื่อขจัดความเสี่ยงในเรื่อง ความแม่นยำทางเวลา

เมื่อคุณ พร้อมทำงานตัวอย่าง ให้ แจ้ง เรื่องเวลามาที่ข้อความของ เจ้าของโครงการ โปรด ดูที่ การแจ้ง เวลาส่งมอบชิ้นงาน

 

คุณอาจจะสนใจ !! บริการ รับเขียนบทความ SEO

 

 

NEUROMARKETING คืออะไร? – เรื่องจริง หรือ หลอกลวง ?

NEUROMARKETING เป็น เรื่องใหม่ ที่ผมเริ่มเห็นถี่ขึ้น ตั้งแต่ช่วงปี 2016 และตอนนี้ ปี 2017 ได้มีพวก Internet Coaching ในบ้านเรา เริ่มหันมาพูด และ จัดคอร์สขาย ต้อนคนไปเรียนเรื่อง NEUROMARKETING จำนวนมาก และ ถี่มากๆ โดยมักปล่อยการเชิญชวนมาทาง โฆษณา Facebook Ads เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผมเอง ก็เกือบหลงเชื่อ เดินไปซื้อตั๋วเข้างาน แต่โชคดี เห็นบ้างเจ้า เก็บตั้ง เกือบหมื่น บาท เลยเอะใจแล้ว เพราะ ยิ่งเก็บแพงๆ และ มาขายแบบ ว๊าวๆ ทำให้รู้สึกว่ามันต้องมีอะไร ซ่อนเร้นอยู่

ค้นหา ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ NEUROMARKETING

วันนี้ ผมเลย เข้ามาเขียนบทความ ในฐานะ Observes และ Research ข้อมูลเพิ่มเติม ใน Internet เพื่อดูว่า เกิดอะไรขึ้น และ ไอ้คำว่า NEUROMARKETING นั้น คืออะไร กันแน่ และมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร – ตัวผมเอง เคยได้ยินคำว่า Neural Network หรือ Artificial neural networks (ANNs) ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับโดยสิ้นเชิง (ณ ขณะนี้)
อันดับแรกเลย ผมลองเข้าไปหาคำค้นหาใน Google คำนี้ก่อนเลย “Neuro Marketing Hoax” เพื่อลองค้นหาบทความ ต่างๆ ว่าใครมีเขียนพาดพิงถึงเรื่อง Neuro Marketing ว่าเป็นเรื่อง โกหก หลอกลวง หรือไม่ ? แต่ก่อนอื่น ผมขออธิบาย เกี่ยวกับ Neuromarketing ที่ได้ไปเจอ ใน Wikipedia ก่อนเลย (เอาเข้าจริง อย่าเชื่อ สิ่งที่ Wiki เขียนมา เพราะ พวก Scammer สามารถสร้างลงใน Wiki ได้เช่นกัน) เพื่อลอง Test Source ว่ามี Paper ใดเขียนถึง Neuromarketing อย่างจริงจัง และมีข้อพิสูจน์ในทางวิชาการมากน้อยแค่ไหน ?

Neuromarketing-wiki

ภาพบางส่วน ตัดมาจาก (source : Wikipedia – Neuromarketing, 2017) https://en.wikipedia.org/wiki/Neuromarketing

Neuromarketing คือ สาขาเนื้อหา เกี่ยวกับ การเรียนรู้ และเข้าใจ sensorimotor ของ ลูกค้า (เดี๋ยว ถ้าอยากรู้ว่า sensorimotor คืออะไร ขอแนะนำให้ลอง e-mail มาขอ บทความแปล ได้จากผมนะครับ บางอย่าง เอาลงไม่ได้จริงๆ ณ ตอนนี้ )
อะไรบางอย่างของลูกค้า ที่เกี่ยวกับ “Marketing Stimuli” 3 อย่าง

  • Sensorimotor
  • Cognitive
  • Affective

โดย วิชา Neuromarketing เนี่ย เห็นว่าเป็น หลักการในส่วนหนึ่งของวิชา “Neuroscience” – อันนี้ เขียนโดย Wiki นะครับ ต้องลองพิสูจน์ ว่ามันใช่ไหม พอดีไม่ได้อยู่ในสาขาความรู้นี้ ได้แต่เขียน ในลักษณะบรรยาย จากการค้นหาจากแหล่งต่างๆ เท่านั้น
การวิจัย ได้นำเอาเทคโนโลยี เกี่ยวกับ “functional magnetic resonance imaging” (fMRI) เพื่อการวัดค่าการทำงานของสมอง ในส่วนต่างๆ
Electroencephalography (EEG) การวัดกระแสไฟฟ้าในสมอง โดย Plot ออกมาเป็นค่ากราฟ
Steady state topography (SST) เพื่อวัดกิจกรรมที่เป็นส่วนเฉพาะเจาะจง ที่เกิดขึ้นจากการทำงานในส่วนสมอง

การวัด โดยจับค่าเหล่านี้ เพื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงระดับ ทางจิตวิทยา

วิธีการวิจัย เขาวัดอะไรบ้าง ?

เท่าที่เห็นจากในบทความ มีดังนี้
1. Heart Rate – การวัดอัตตราของหัวใจ
2. Respiratory Rate – การวัดอัตตราการหายใจ
3. Galvanic Skin Reponse – การโตตอบของชั้นผิวหนัง
4. Facial Coding – การจับค่าของการส่งผ่านทางอารมณ์บนใบหน้า
5. Eye Tracking – วัดการตอบสนองของสายตา

การวัดเหล่านี้ ทำไปเพื่อ เรียนรู้ พฤติกรรมการตัดสินใจของ ผู้บริโภค โดยศึกษาว่า การตัดสินใจต่างๆ มีค่า Output ตัวแปล ที่วัดได้ในแต่ละส่วนเป็นรูปแบบอย่างไร
สิ่งที่เรียนรู้ ทางการวิจัยนี้ เพื่อพยายาม พยากรณ์ เรื่องของ พฤติกรรมผู้บริโภค

การวิจัยนี้ ใช้สมาชิก สำหรับเป็นตัวอย่างการวิจัยจำนวนกว่า 1,700 คน โดยใช้งานมากกว่า 90 ประเทศ

องค์กร ที่เกี่ยวข้อง = Neuromarketing Science & Business Association

Neuromarketing Science-Business Association-site

ลองเข้าไปดู สังเกตว่าเว็บตายไปซะแล้ว 😀

แต่ในระยะช่วง 1990 จวบจนปัจจุบัน มีหลากหลายหน่วยงาน พยายามวิจัย Topic นี้เพื่อ ตีพิมพิ์ “white papers on the potential applications of Neuromarketing”
พอพยายามลองเข้าไปดู :: http://drdavidlewis.com/assets/NeuroMarket1.pdf
พบว่า ไฟล์นั้น ไม่อยู่แล้ว Report 404 เฉยเลยครับ อันนี้ ทำให้ผมกล้าส่งจดหมายเวียน ไปที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กรองปราบ ในส่วนงาน อาชญากรรมทาง Cyber เตรียมไว้ก่อน กันเหนียว เผื่อมีพวกรู้ดี มาเคลม …
ผมว่า Topic ทาง Online Marketing ถ้าอยากศึกษา ให้ใกล้เคียงและได้อะไรที่อ่านแล้ว ลึกซึ้งกว่า Topic นี้
ผมอยากแนะนำว่าให้ท่านลองศึกษา พวก “consumer behavior” + “consumer preferences” น่าจะได้อะไรกลับมามากมายกว่านัก แล้วไปต้องไปปวดหัว เพื่อศึกษาอะไรที่เกินขอบเขต และ เราอาจนำสิ่งๆนั้นมาไช้ได้ไม่เต็มที่
ทางผมเองก็ยัง เดินวนอยู่ที่การ research พฤติกรรมของ User Preferences เสียมากกว่า เพราะ เป็น Field ที่ผมทำงานอยู่นั่นเอง โดยเก็บตก จากการแชร์ ความรู้ของกลุ่ม UX และ OM Insight ที่หาได้ทั่วๆไป และ ส่วนใหญ่ Experience ตรงๆ จาก กลุ่มคนทำงานด้วยกันเนี่ยแหละ ให้ Positive Knowledge ที่นำไปปรับใช้ได้จริงๆ มากกว่าครับ งานพวกนี้ คืองานเก็บ เทคนิค ใครมาขายหลักการ แบบนี้ มักใช้ไม่ได้จริงครับ เพราะพวกนี้มักพูดกว้างๆ หาสารประโยชน์อะไร นำไปใช้จริงสำหรับผมไม่ได้เลยจริงๆ หรือ คนอื่น อาจจะได้ก็ได้นะ อันนี้ แล้ว แต่ปัจเจกฯ.

ประวัติ และ ที่มาของ Neuromarketing

ประวัติ และ ที่มาของ Neuromarketing เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับ กระบวนการตัดสินใจเลือก และ เรื่องของ Motivations ท่านที่เคยศึกษาจาก ระบบ The War Room ท่านเอง ก็คงเข้าใจและผ่านแนวคิดมาแล้ว ว่า Selection กับ Fundamental Of Motivations นั้นมีอะไรบ้าง อันนี้ มันใช้ประยุกต์ใช้กันมานานแล้วครับ ไม่ใช่ของแปลกใหม่ เป็น Fundamental พื้นฐานมากๆ ใครเอามา ล้างน้ำ ตั้งชื่อใหม่ แล้วมาขายคอร์สแบบนี้ ถือว่า น่าเสียดายครับ ขายของชิ้นเดิมๆ เอามาพูดชื่อใหม่ 50 – 100 รอบ เก็บเงินกับหลักการ ซ้ำๆแบบนี้ ผมว่า คนเรียน ไม่โต

อย่างไรก็ตาม Neuromarketing เป็นศาสตร์ของการ สังเกต พฤติกรรม และ แสดงข้อมูลที่ลึกกว่า ในเรื่องของความซับซ้อน ของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยที่ผ่านมา พวกเขาต่างสนใจว่า อะไรคือ Motivation ที่อยู่เบื้องหลัง ทำไม จึงรู้สึกเช่นนั้น ทาง Neuroscience ก็เลยพยายาม Prove หรือ พิสูจน์ ในเรื่องความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับ อารมณ์ ที่ทำให้เกิด พฤติกรรม

นักทฤษฏี ได้เห็นว่า คนแรกที่ กล่าวถึง Neuromarketing คือ ผู้เชี่ยวชาญทางการตลาด ชื่อ “Gerald Zaltman” ในปี ทศวรรต1990 โดย Zaltman และ ทีมงาน ได้รับการ จ้างโดยองค์กรใหญ่ๆ อย่าง Coca Cola Ltd. เพื่อหา ข้อมูลเชิงลึก จากการ สแกนสมอง และ ดูการทำงานของระบบประสาท ของผู้บริโภค

การใช้เทคนิค จิตวิเคราะห์ (Phychonalysis Techniques) เช่น fMRI หรือเทคนิคอื่นๆ เช่นการ Tracking สายตา และการวัดอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้นบทความนั้น ได้เรียกขานว่า เป็นการใช้ ZMET หรือ สมองจะได้รับการจดบันทึกตัวแปร เมื่อ ผู้บริโภค ได้ลองมองดูโฆษณา ในทีวี (สมัยก่อน) และ การวิจัยดังกล่าว ได้ถูกใช้เป็น เครื่องมือทางการตลาด มาระยะหนึ่ง

ส่วนคำที่ว่า “Neuromarketing” นั่นได้ถูกเริ่มใช้ในปี 2002 จากการตีพิมพิ์ ออกสู่สาธารณะครั้งแรก โดย ธุรกิจด้านการตลาด ที่อยู่ใน Atlanta และต่อมา มีการกล่าวอ้างถึง Nervous system functioning แล้วต่อมา การวิจัยนี้ ดันมี Conflict of Interest กับทาง มหาลัย Emory University แต่ตอนนี้ ธุรกิจนี้ ก็ยังคงมีลูกค้าราวๆ 500 ราย โดยพยายามหา วิธีการที่มีประสิทธิผล ทางการใช้ Neuromarketing ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา

 

ผมได้ลองเข้าไปค้นคว้า แล้วอังเอิญเจอบทความ จากนัก พัฒนา Conversion สาย Psychology (สายที่ผมชอบไปหาอ่านบ่อยๆ)
คุณ Jeremy Smith – คนนี้ เบื้องลึกเบื้องหลัง ผมไม่รู้หรอกครับว่าเขาเป็นอย่างไร ผมจึงนำเสนอในเชิง Fact โดยไม่ตัดสิน จากบทความนี้ และ ข้อมูลต่างๆ ทั้งหมด ที่ผมนำมาลงในบทความฉบับนี้
jeremy-smith-conversion-optimization

 

ทัศนะ แนวคิด จาก Search Monopoly

• เท่าที่อ่าน และ research มาพอสมควร เราพบว่า Neuromarketing ยังไม่เป็นที่ ยอมรับว่า เป็น Science แต่มีแนวโน้มในระดับความเชื่อ
• ประโยชน์ ของการนำ Neuromarketing มาใช้ เพื่อ ทำให้คนสนใจ Ads มาขึ้น แต่ไม่ได้ มีข้อพิสูนจ์ทาง วิทยาศาสตร์ ว่ามันสามารถเพิ่มยอดขาย โดยใช้การอธิบาย ตามหลัก Logic ทางวิทย์ศาสตร์ ว่ามีตัวแปรต่างๆ อย่างไร
• ถามว่า เพิ่ม Conversion ได้จริงไหม ? — Search monopoly ยังไม่มีบทพิสูจน์ เชิงประจักษ์ ว่ามีการสร้างยอดขายที่ดีขึ้น หรือ conversion ดีขึ้น โดยถาวร เมื่อนำหลักคิดของ Neuromarketing มาใช้
• ถามว่า ไปเรียน Neuromarketing แล้วคุ้มไหม ? – ทัศนะของ Search Monopoly พบว่า มันไม่ต่างกับการปรับ UX แบบ Basic เลย อย่างที่เขาใช้ Bias ล้วนๆ ใช้กัน และเราคิดว่า ไม่มีความคุ้มค่าใดๆ ในการไปเรียนรู้มันมาก เพราะ มักเจอคอร์สราคาหลายหมื่น เกินความจำเป็น
• ถามว่า เรียนรู้แบบ รู้ไว้ใช่ว่า จะมีประโยชน์ไหม? – ผมคิดว่าเอาเวลาไปศึกษา พวก Lean UX จริงจัง แล้ว ศึกษา engagement ให้ดีกว่า จะไปได้เร็วกว่า Neuromarketing เสมือนคำประดิษฐ์ ที่ไม่มีบทสรุป การันตีใดๆ จากทางสำนักวิทยาศาสตร์ หรือ สถาบัน Online Marketing ระดับกว้าง
• Neuromarketing ยังอยู่ในขั้นตอน Research สิ่งที่ Internet Coaching นำมาขายส่วนใหญ่ เป็น Topic การวาง Object ให้คนสนใจมากขึ้น ซึ่งไม่ได้นำความรู้ หรือ Insight ของการ research มาสอน
• สุดท้าย Search Monopoly อยากให้ มองกลัวมาที่ Basic – UX พื้นๆ จิตวิทยา การตลาด พื้นๆ ที่เคยสอนในระบบ The War Room. ครับ
• ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมได้ส่งจดหมายเวียนไปยังหน่วยงานราขการ ทหาร ตำรวจ กองปราบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กลุ่มปราบปรามอาชญากรรมทางอินเตอร์เน็ต และ สมาคม ติดตาม Pseudoscience และ กลุ่มอาจารย์ ด้านวิทยาศาสตร์ และ ผู้ที่ช่วยเหลือได้ในยามคับขับในห้อง หว้ากอ (Pantip) ไว้เรียบร้อยแล้ว เผื่อมีประเด็นดราม่าเกิดขึ้นในอนาคตครับ 😀

วิธี การ Resize รูปภาพ สำหรับ เนื้อหา SEO

พอทำ SEO ให้ลูกค้าหลายๆราย โดยเฉพาะ กลุ่มผู้ประกอบการ SME นั้น ทางเจ้าหน้าที่ ของบริษัทต่างๆ ต่างยังคงขาดประสบการณ์ ในการสร้างคุณภาพ เนื้อหา (Content) โดยเฉพาะ เรื่องของ รูปภาพ ที่พวกเขามองข้าม และไม่ได้ให้ความสำคัญ ประกอบกับความไม่รู้ในกระบวนการผลิตผลงานให้ผ่านมาตรฐาน Google Webmaster Policy ซึ่งจะยิ่งทำให้พวกเขา ห่างไกล จากความสำเร็จ ทางการจัดอันดับใน Search Engine. 

เรื่องของการ ย่อไฟล์ และ การ บีบอัดรูปภาพ เพื่อผล SEO ที่ดีกว่า

ตัวอย่าง ที่นำเสนอนี้ คือวิธีการ จัดเตรียมรูปภาพ ที่มีมาตรฐาน สำหรับนำไปจัดทำบทความ เพื่อทำอันดับ SEO ให้ดีมากยิ่งขึ้น

 

เริ่มต้น 1 – รูปภาพที่ได้มา ให้กำหนดขนาดก่อน

 

เลือกภาพที่เราต้องการปรับขนาดให้เล็กลง

รูปภาพ ตัวอย่าง ที่ได้มาจากลูกค้ารายหนึ่ง ใน Folder รูปภาพ ที่รวม Images จำนวนมากๆ เกี่ยวกับสินค้า และ บริการของธุรกิจ

ใน step แรกนี้ ให้เรา ลองพิจารณา การวาง Layout ว่าเราจะ สร้าง พื้นที่ ของรูปภาพ ขนาดเท่าไหร่

 

โดยรูปภาพ จะถูกกำหนด ความสูง x ความยาวของรูปภาพ

คำอธิบาย – กระบวนการ ทำ SEO นั้น ทางผู้ว่าจ้าง มักมองว่า ผู้รับทำ SEO อาจไม่ได้ มีงานที่ต้องทำอะไรมาก และ ไม่เข้าใจว่า กระบวนการทำอันดับ SEO นั้น ต้องทำอะไรบ้าง และมักจะมาสอบถามว่า เราทำอะไร ให้มันติดอันดับใน Google ทาง Search Monopoly แนะนำว่า เรามีเรื่องที่ต้องทำ ต่อลูกค้า 1 ราย เป็น 1000 กว่ารายการ ที่ต้องตรวจสอบ เราไม่สามารถ บอกเป็น ข้อสรุป หนึ่ง – สอง – สาม ว่าคุณต้องทำอะไร ซึ่งคำถามเหล่านี้ หากอยากรู้หมด ขอแนะนำว่า ให้คุณ จ้างเป็นการปรึกษาต่างหาก เพราะหากให้ Training ให้บริษัทเข้าใจการดำเนินงานจริงๆ เราจำเป็นต้องใช้เวลาในการสอนงานให้รู้ทุกมิติของการทำ SEO กว่า 600 ชั่วโมง หาก บริษัทใด ที่ต้องการให้เราสอนในเรื่องของ งาน Operation SEO ให้ครบถ้วน โปรดจัดจ้างเป็นรายปี โดยเราคิด Rate 1,500 บาท x 600 ชั่วโมง เป็นราคา ประมาณ 900,000 บาท แล้วคุณสามารถนำไปให้ลูกน้อง และ เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้เอง หากคุณสนใจ บริการ การทำ SEO ของ Search Monopoly ซึ่งมุ่งเน้นการ Operation งานที่มีคุณภาพ เก็บงานทุกรายละเอียด โปรดเข้ามาดูรายละเอียด บริการ รับทำ SEO (จะช่วยลดต้นทุนและรายจ่ายบานปลายได้มาก)

ภาพที่คุณเห็นเบื้องต้นนั้น หากลอง inspect หรือ look up properties โดยทำการ Click ขวา สำหรับ Window OS. คุณจะเห็นรายละเอียด ดังต่อไปนี้

เช็คขนาดภาพ size ที่ใหญ่เกิน

โดยทาง Policy เรื่องของ มาตรฐาน การผลิตงาน SEO ของ Search Monopoly เราจะเน้นให้ภาพทุกภาพ ทำการ Render ได้ฉับไว ตอบสนองกับ Google Search Engine ได้ดี 

ชื่อภาพ ถูกตั้งชื่อได้ถูกต้องแล้วหรือยัง ตัวอย่าง double-layer-a-p01.jpg (ถูกต้องแล้ว)
ขนาด (Size) สามารถทำได้ต่ำกว่า 70KB ได้ไหม ? ภาพนี้ ยังมีขนาด 202 KB ซึ่งยังไม่ได้มาตรฐาน
Dimension หรือ Area ของภาพ องค์ประกอบรวม เหมาะสมกับการจัดวาง Layout หรือไม่? ขนาดภาพ ใหญ่เกินไป กว้าง x ยาว
Alternate Text ถูกระบุได้ เหมาะสมหรือไม่? แล้วใส่หรือยัง?

ตัวอย่าง ALT TEXT ควรจะเป็น

“ภาพถ่าย หน้างาน การติดตั้งประตูม้วน สีเทา รุ่น Double Layer A100”

ขนาด dimension ของภาพ

เมื่อเราลองมา Inspect ภาพนี้ กลับพบว่า ภาพมีขนาดที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถ และ ไม่ควรนำไปใส่ในบทความเพื่อทำอันดับ SEO

เราควรจะต้อทำการ Re-Size ขนาดภาพเบื้องต้น และ กำหนด Proportion ที่เหมาะสม โดยใช้วิธีการ กำหนดขนาดให้เหมาะสม

โดยเราอาจใช้เครื่องมือ Image Editor ต่างๆ ซึ่งทาง Search Monopoly จะลองใช้ Photoshop ในการปรับภาพ

เมื่อใช้ Photoshop function crop ภาพ โดยภาพตัวอย่างนี้ ลองพิจารณา การวางองค์ประกอบ Layout แล้ว พบว่า จะใช้
Dimension ขนาด 550 x 350 แทน ขนาดเดิม ที่เป็น 1280 x 960 px. จะทำให้ลดทอนขนาดลงได้มาก

จัดการวางภาพ และ area ของการ crop ภาพ ให้เหมาะสม 

รายละเอียด ต่อไป ให้กำหนด เป็น Low Quality หรือ ระดับ 5 ก็ได้ ไม่ควรใส่ 8 – 12 เพราะภาพจะมีขนาดที่ใหญ่เกินไป

การขายของทางออนไลน์ เราไม่ได้ขายงานศิลปิน ไม่จำเป็นต้องลงภาพขนาด 3MB หรือ 15MB ซึ่งหากทำแล้ว webpage จะบวม และ อำลา อันดับ Google ไปได้เลย

ฉะนั้น จะขายของระดับ ร้อยล้าน ทาง webpage ให้ทำการ ลดขนาด size ภาพ ให้ใกล้เคียงกับ 70KB ซึ่งจะทำให้ เว็บเพจ มี Performance ที่ดียิ่งขึ้น 

STEP ที่ 2 คือสร้าง identity ความเป็นเจ้าของภาพ และ ป้องกัน การ ขโมยภาพ

ซึ่งทาง Search Monopoly มีเทคนิคการฝัง script ให้กับลูกค้าทุกราย หากมีการขโมยภาพสินค้าที่เป็น Original ของลูกค้าเราไป เราจะได้ credit ความเป็นเจ้าของหรือ Authority เต็มๆ

อีกวิธีที่ทาง Operation หรือพนักงาน ของลูกค้าดำเนินการ คือการใส่ลายน้ำ หรือคาบแถบต่างๆ ให้มีตัวตน หรือ Brand ของ บริษัท 

การใส่ลายน้ำให้ภาพ

เมื่อใส่ลายน้ำ หรือ LOGO ของเราลงไป ให้ทำการ ย่อ image size ให้เหลือตาม Proportion ที่เราต้องการ คือ 550 x 350

เมื่อย่อลงอีก เราจะได้ไฟล์ภาพขนาด 47.9 KB ซึ่ง Performance สูงกว่ามาตรฐาน

แนะนำให้ใช้ Baseline Optimized สำหรับภาพที่ไม่สำคัญมาก เป็นภาพรายละเอียด สินค้าทั่วๆไป 

STEP ที่ 3 คือ การสร้าง Image ให้มี Sense ของการขายสินค้า

ใช้จิตวิทยาเรื่องการไล่สี อันนี้จะเป็นงาน design ถ้ามีเวลา แล้วค่อยทำ ถ้ารีบก็อย่าทำ แต่ทาง Search Monopoly มี trick พิเศษ ที่มีการจัดวาง Object ให้ดูลื่นตา และ ปรับกับ Flow ของ UX ที่คอมีคุณภาพที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของการทำอันดับ SEO ซึ่งหากสนใจ Step ที่ 3 ให้ศึกษาเพิ่มเติม หรือสอบถามที่ Search Monopoly

การปรับภาพ ให้สี สะดุดสายตา

สร้าง Feeling เรื่องสี โทน ความรู้สึก มันใช้จินจนาการ ไม่เกี่ยวกับ SEO โปรดข้ามไป STEP 4 ได้เลย

STEP ที่ 4 การใช้ เครื่องมือ บีบอัดภาพ ด้วย Online Tool

เมื่อเรา ได้ภาพที่ต้องการแล้ว งานของเรา ยังไม่จบ หากทำ SEO ให้สุดขั้นกว่านี้ จะมีการใช้ Tool บีบอัดภาพให้ละเอียดกว่าเดิม

เครื่องมือบีบอัดภาพ ทีละภาพ สำหรับ เว็บที่ไม่มีขนาดเยอะ
แนะนำเพิ่มเติม : ถ้าเว็บไหนมี 100,00 ภาพที่ต้องบีบอัด ให้เช่า Tool มารอบนึงเลย ทำยาวๆ แล้ว re-upload จะไวกว่า เราควรพิจารณาจัดจ้างจ้าง โปรแกรมเม่อร์ ทำ job เดียว เช่น Re-Upload + ALT Text ไปด้วย

ภาพที่บีบอัด ลดลงมาเหลือเพียง 26 KB จากเดิม 202 KB
ภาพนี้ สามารถนำไปใช้งานในหน้าเว็บเพจได้แล้ว

ตัวอย่างภาพ ที่บีบอัดแล้ว

เมื่อเรานำภาพ ไปใส่ในเว็บของเรา (ในที่นี้ เราใช้ CMS WordPress) ทำให้ง่ายต่อการจัดการมากๆ

ตัวอย่าง หน้า web layout ที่ ตกแต่งอย่างดี

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ให้เรานำภาพไปจัดแสดงหน้าเว็บ Layout และปรับ Class + ID ต่างๆ เพื่อตระเตรียมการขึ้น Call To Action หรือ Story Telling เพื่อการปิดการขายงานนี้ โดยจะต้องใช้พลังสร้างสรรค์ของงานเขียน เนื้อหาและบทความSEO เข้ามาเป็นตัวช่วยอีกทีหนึ่ง

Partner WordPress Developer – SME2WEB

SME2WEB หรือ SAWASDEE IDEA อยู่ในเครือเดียวกัน

logo_sme2web

 

เป็นทีมเด็กที่จบจากบางมด เป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาเว็บ WordPress ระดับสูง มีความเป็นมืออาชีพ และเข้าใจการทำเว็บไซต์ ที่ตอบสนองกับ SEO ได้เป็นอย่างดี เราจึงแนะนำให้ SME ลองพิจารณาผู้ประกอบการรายนี้ครับ

มี Project Manager คือ คุณ เอ่ เป็น consulting ที่ดีมาก ดำเนินงานได้อย่างราบรื่น มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เข้าใจโจทย์ของ นักธุรกิจได้เป็นอย่างดี

 

SAWASDEE IDEA จะเน้น SME ขนาด L

จุดด้อย : อาจจะไม่เหมาะสมกับ ลูกค้าขนาดเล็กจนเกินไป เนื่องจากการพัฒนาเว็บไซต์ขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนสูง ดังนั้นราคาและระยะเวลาจึงขึ้นอยู่กับ Requirement ของลูกค้าแต่ละท่าน

 

SME 2 WEB ขอเป็นขนาด S M

รับพัฒนาเว็บไซต์ด้วย WordPress ในรูปแบบเว็บไซต์บริษัท, เว็บไซต์ Catalog และเว็บไซต์ Ecommerce
จุดแข็ง : ทีมงานมีประสบการณ์ มากกว่า 10 ปี ในการพัฒนาระบบ WordPress จึงสามารถให้คำแนะนำจริงในการใช้งาน WordPress ได้
จุดด้อย : wordpress เป็นซอฟแวร์ Open source ที่อาจจะมีช่องโหว่อยู่ ดังนั้นจึงต้องการการจัดการและพัฒนาที่ดี

Hit ใน Google analytics คืออะไร

Hit มันคืออะไร ทำไมจึงมีตัวเลขนี้ ใน Google Analytics

เมื่อคืน ไปนั่งทำ Event Tracking ให้กับลูกค้าเจ้าหนึ่ง เราเร่ิมสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของ Hit ในแต่ละ channels และ Hit ในแต่ละ Device
ทาง Search Monopoly ได้พัฒนาแนวทางการ Track หน้าเว็บเพจ ของ Page Element ด้วย Hit Elements. หมายความว่า “การวัดค่า การกด Click ของ user ในแต่ละตำแหน่งของสิ่งจัดวาง ในหน้าเว็บเพจ” แล้วเราก็ตั้งชื่อ Hit ในแต่ละการกระทำต่างๆ ว่า “Events”

Hit ก็คือ การกระทำของ User

ในรายงาน Google Analytics เราจะเห็น Session กับ User ก่อนใช่ไหมครับ แต่ไม่ค่อยเห็น Hit. เอาเข้าจริงๆนะ การทำ Online Marketing หรือการ track Performance ต่างๆ ถ้าจะรู้ลึก รู้ละเอียด ก็ต้องไปแอบสอดส่องการกระทำต่างๆ ของ user ในระดับ Hit นั่นเอง

เรามักดู User เข้าเว็บจำนวนเท่าไหร่ แต่ไม่ดูว่า Hit มาทำอะไร

บางที เรามองแต่กราฟ แล้วก็โดน Ad Agency หลายๆสำนัก พยายามชักจูงให้คุณ สูญเสียเงินกัน การนำ user เข้ามาในเว็บของคุณ แล้วก็ มโนส่งเดชว่ามันจะตีกลับออกมาเป็นยอดขาย – กับดัก SME อันหนึ่ง ที่ผมพยายาม จะ Communicate กับ SME ตรงนี้ครับ ว่าถ้าเรา อ่าน Hit ไม่เป็น หรือ ไม่ได้ทำ Event Tracking อันนี้ ถือว่าจบเห่ครับ

เอาเข้าจริงๆนะ คนเข้าเว็บ 100 คน จะเหลือๆเพียง 2 – 5 คน ที่เข้ามา กระทำอะไรต่อมิอะไรจริงจัง ใน Sale Funnel ของเว็บของคุณจริงจัง เท่านั้น
อีก 95 – 98 คน ที่เราซื้อ Ad มา เราอ่านเขาไม่ออก. และเราก็ไม่รู้ว่า เขามาทำอะไรกับเว็บเรา แล้วเราก็โยนเขาทิ้งออกไป

ลองตีเป็นเงินดูครับ
ถ้าค่า Pay Per Click ของเรา ราคาอยู่ที่ 15 บาท ต่อ 1 คลิ๊ก

เราจะโยนเงินทิ้ง ราวๆ 1,470 บาท ทิ้งไปเลยกุ้ง ล๊อบสเตอร์แสนอร่อย ในน้ำซอส

นั่นหมายความว่า คุณใช้งาน การทำโฆษณา ที่สุดยอดห่วย สุดๆ และ เปลืองสุดๆ และ ไร้สาระสุดๆ
อีกประเด็นหนึ่ง เงินจำนวน 1,470 บาท สามารถซื้อ Lobster ทานได้ ครึ่งตัวเลยนะครับ !

สาระสำคัญของการ พัฒนา Hit Tracking เพื่อ จับพฤติกรรมของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา

และส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยเหลือ การทำ Usability ที่ดีขึ้น งานนี้ UX คงชอบ และอยากเข้าใจมันได้อย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งโชคดีที่ทาง Search Monopoly ได้ร่วมโครงการพัฒนา Analytics Tool ลับๆ ตัวหนึ่ง กับค่ายทีม DIKW ASIA ซึ่งทางนั้น ได้แพล่มๆ ปล่อยหนังสือ Google Analytics ฉบับ Advance ที่อธิบายการใช้งาน Google Analytics เชิง วิเคราะห์ ธุรกิจ ได้อย่างละเอียด และโชคดีที่ทางนั้น เป็น Specialize Dev. แนว DATA Science.

ตอนนี้ โครงการ DIKW ที่กระทำกับ Search Monopoly ยังอยู่ในช่วงตั้งใข่ หรือ กระทำโดยสร้างกลุ่ม ผู้ใช้งาน “กลุ่ม Early Bird” (ไม่ใช่ Angry Bird นะครับ) คิดว่า ปีหน้า คงได้เป็น DIKW ออกมาตูมตามในแวดวง Digital Marketing กันมากขึ้น แต่ทางนั้น เขาเดินสายเงียบๆ ป้อนวิชาโหดๆ ให้ บ. ใหญ่ๆ หลายกลุ่ม ซึ่งได้ของออกมาเพียบ

 

Hit Builderทาง DIKW ได้ Transfer Knowledge โหดๆ อย่างเช่น Hit Builder ที่ทำให้การ track อย่างละเอียด ของ page view และ hit ที่ทำให้เรา เห็นความสัมพันธ์ และนำ Big DATA มาทำ DATA Mining ที่น่าสนใจได้ด้วย และคาดว่า Thai Traffic ยังหาแนวทางการ predict ที่ยากพอสมควร หากใครสนใจศึกษา เรื่อง Hit จริงจัง ลองเล่น tool นี้ดูครับ > Hit Builder ของ Google Analytics

 

Hit ใน กลุ่มต่างๆ ของ Google Analytics

  • Hit การติดตามหน้าเว็บ
  • Hit การติดตามผลของกิจกรรม
  • Hit การติดตามอีคอมเมิร์ซ
  • Hit การโต้ตอบทางโซเชียล

ลองศึกษา Google Analytics และ หากท่านเป็น Dev. ลอง Research เกี่ยวกับ “send common hit types to Google Analytics” ดูครับ
ทาง Google Support แกกล่าวว่า

mix and match various parameters to achieve new data relationships

ไอ้อันนี้แหละ ที่เป็น การผูกค่าตัวแปรที่สำคัญและน่าสนใจเลย ซึ่งตัวที่โหด ที่หลายๆ Platform เล่นกันอยู่ตอนนี้คือการทำ “Enhanced E commerce Tracking” นั่นแหละครับ พูดง่ายๆว่า config กันมันส์มือมากๆ…
วันหลังค่อยเขียน Intro เกี่ยวกับ E-Commerce Tracking โหดๆ ให้นะครับ ซึ่งยินข่าววงในมาว่า DIKW จะออกหนังสือ เทพๆ อีกเล่ม เป็นเรื่องของ Custom E commerce Tracking แบบ ละเอียดล้วนๆเลยครับ (ทางผมกลัวว่า ทีมนั้นจะปล่อยออกมาเล่มละ หมื่น ผมจะต่อภายในให้ อาจปล่อยจอง ในราคา SME เอื้อมถึง แต่ขอ ดีลแบบลับๆนะครับ ปล่อยเยอะไม่ได้ครับ)

กลับมาที่เรื่องของ Hit คืออะไร ?

เพลินๆ ยาวๆ เกี่ยวกับเรื่อง Hit – ยังไม่เข้าเรื่องเลย เพราะ ศึกษาเรื่อง Hit มาเป็นปีแล้ว ในหัวยังลำดับขั้นตอนการสื่อไม่ได้ เลยเขียนเรื่อยๆ สำหรับเรื่อง Hit ในบทความนี้ จะได้วาง Internal Link ไปสู่บทต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไว้ทำ note pin ส่วนตัวเอาไว้เวลากลับมาอ่าน เรื่อง Hit ตรงนี้ และแชร์ให้กับ สมาชิกที่เข้ามาเรียน The War Room ของ Search Monopoly

อันนี้อ่านแล้ว งงๆ ครับ Google ไม่เคยแปลอะไรให้เราเข้าใจง่ายเลย (Session vs Visited) เอาเป็นว่า Hit เนี่ยแหละ เป็นเหตุการ ตัดสิน การเข้าชมตัวนึงได้ ฉนั้น ในระดับ Event ที่เราสนใจ จะเป็น จุดเริ่มต้น ของ View ที่มี Business Value.

 

นั่นหมายความว่าอะไรครับ ??

หมายความว่า เรามารถ นิยาม Business Value ในแบบที่เราต้องการได้ โดยอาศัยการออกแบบ Web Flow ที่เราต้องการจริงๆ และ เราก็วัด visit จาก การใช้งานระดับ Flow ต่างหากครับ.

 

 

เทคนิคการพัฒนาแคมเปญ AdWords – Optimal CPC solution

การพัฒนา SEM campaign ไม่ใช่เรื่องของ การตลาดออนไลน์ โดยตรง แต่สิ่งที่ผมได้สอนในระบบ “The War Room” ให้ผู้ประกอบการ SME ได้เรียนรู้ที่ผ่านมา คือการ ปรับเปลี่ยน แคมเปญ ให้เป็นการวิเคราะห์ แบบเชิงเทคนิคมากขึ้น

ประเด็น ที่เรากำลังขบคิด โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนายอดขาย และการทำ Effective Ads นั้น มาจากการค้นหา DATA และนำมันมา Filter ได้อย่างเหมาะสม
การปรับ Bid Strategy และการกำหนด Keyword Match Type ใหม่ๆ โดยใส่ Dimension ของ Context ต่างๆ เพื่อแยก Ad Groups และ แยกแคมเปญ โดยทำการหา Optimal Price เพื่อวัดหา Scale ของ conversion ที่เป็นไปได้ โดยนำมาผูกกับ testing Campaign ของกลุ่ม PPC สำหรับ test usage ใน site ของเรา ซึ่งระบบ The War Room มีความเชี่ยวชาญในการค้นหาช่วงเวลาที่เราได้เปรียบ และสร้างโอกาสของ Conversion ที่ดีกว่า

พูดง่ายๆ เราไม่ได้หว่าน Ad มั่วๆ แต่เราทำให้ได้เปรียบคู่แข่ง

มันมีหลายจังหวะที่ Ad เรียกได้ว่า ทำงานแบบไม่เป็นระเบียบ จังหวะสำคัญที่เราจับได้ เป็น Signal ในการเองชนะคู่แข่ง คือการซอยย่อยละเอียดของ Ad Group และ filtering หา Landing Page ที่มีก้อนเนื้อส่วนประกอบของ HTML ในสัดส่วนที่เหมาะสม อันนี้ เราใช้เวลากันเป็นเดือนๆ มากกว่า 90 วัน เพื่อหาส่วนผสมของ HTML เพื่อให้ได้ Usability และ Ad Rank ที่เหนือกว่า

เรา test 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่กว้านซื้อ keywords และอีกกลุ่ม กลุ่มที่เน้น การ bid แบบ ซอยย่อย

optimal graph CPC - adwords campaign the war room

หากเราได้ลองพิจารณา อย่างถี่ถ้วน เราจะพบว่า การทำโฆษณา ให้ขายของได้นั้น มาจากการสร้างเหตุผลของการซื้อและการขาย โดยใช้ กลุ่มของ คำค้น และ ดูเหมือนว่า Google AdWords เอง เข้ามาจับความเป็น Dynamic ของ Anchor Text ในระดับ Site Category และ ความถูกต้องของ site str. ด้วย

ในปีนี้ เราไม่ได้ใส่ META Keyword แม้แต่น้อย ดูเหมือนว่า Google AdWords ใช้ Algorithm ที่เป็น ปัจจัยภายนอกมาคำนวณมากกว่าเรื่องของ Quality ภายใน ที่เรามักโดนใส่ความเชื่อผิดๆกันมาตลอด.

 

การทำ Rank ที่ดี นั่นหมายถึงว่า Page Quality ต้อง เต็ม 10 เป็นอย่างน้อย

เอาเป็นว่า ผมขอย้ำอีกทีครับ การทำ AdWords เราต้องพัฒนา Page Quality ที่ได้ 10/10 โดยไม่ต้องสงสัย

อีกประเด็นต่อมา การทำ Conversion แม้มีปัจจัยเรื่องการเขียน Offer ที่สัมพันธ์กับตัว Ads Header อยู่บ้าง แต่สิ่งที่เรามองเห็น ได้ชัดคือเรื่องของการ Optimize Keyword แบบสม่ำเสมอ ไม่ได้ปล่อยทิ้งไว้นานๆ แบบที่เคยทำได้มาก่อน

 

อันนี้ ต้องใช้ technique พิเศษ ที่เรียกว่า “Dynamic Filtering” แนะนำลองไปหาเช่า Tool ของเมืองนอกดู ของดีๆ ราวๆ ไม่กี่หมื่นบาทต่อเดือนครับ

มันฉลาดกว่า CPA Bid ของ Google ด้วยซ้ำในบางจังหวะ แต่สำหรับ Keyword Search Term ภาษาไทย คิดว่า ไม่มี Tool ต่างประเทศที่ไหนที่สามารถให้เราได้อย่างเต็มประสิทธิภาพครับ และคิดว่าไม่มีทางที่จะทำได้เร็วๆนี้ หรือในอีก 15 ปี

 

สิ่งที่ Search Monopoly ใช้ คือใช้ความเก่าเกมส์ ที่เคยไปลับคมสมัยทำ bidding ให้กับ booking และ ศึกษา Intelligent process ของ E-commerce เจ้าใหญ่ แบบว่าต้องไปแอบส่องแบบอ้อมๆ ทำให้พอเข้าใจแนวคิดว่า ฝรั่งมันคิดอย่างไร

 

ไปๆมาๆ พบว่า เทคนิคมันล้ำเกินครับ แต่ทางผมได้นำ solution ที่ใช้ง่ายๆ และได้เอาแนวคิดกลยุทธ์แบบนั้นมาใช้ในระบบ The War Room

สุดท้าย เครื่องมือทุ่นแรง คือการใช้ Excel แบบมืออาชีพ ก็คือ Manual ให้มันส์มือ ในแบบที่ผมถนัดอยู่แล้ว ผูกสูตรกันสะใจไปเลย

 

สู้ไม่ได้ ก็หลบหมัด Hook แล้วก็ย้อนหมัด Hook คือ กลยุทธ์เด็ดๆ

 

อย่านึกนะครับว่าสมัยนี้ แค่ Bid PPC แล้วจะได้ยอดขาย — ความสนุกคือความถึกแบบ ซดกันหมัดต่อหมัด ใครชำนาญกว่าก็ได้กินยอดขาย

ใครมั่วก็อดกิน แถมเสียเงินมากกว่าชาวบ้าน 14 – 70 เท่า ทำให้โดนกด CPL ไปรัวๆ จนเลือดกระฉูด

บางคน ทำแคมเปญ ยังไม่ได้ยอดซื้อเลย เพราะ ไม่เข้าใจ Flow ในการใช้งานของสมัยนี้ และ ไม่คิดจะเรียนรู้และต่อเติมให้มันดีขึ้นไป ในสิ่งที่สมควรทำ

เอาเวลาไปเสียกับการทำ Re-Marketing ทั้งๆ ที่ผู้ซื้อถูกยัดเยียดให้ดู Ads อะไรแบบนั้น

แนวคิดแบบนี้ มันจะเริ่มหมดไป และ นักธุรกิจ เริ่มเรียนรู้ จังหวะ Hook ที่ผมนำเสนอไปใน E-Mail Marketing ที่ส่งไปเดือนที่แล้วเป็น Data Summary ไปกว่า 50,000 ฉบับ

 

แม้ E-mail Conversion จะน้อย เพียงแค่ 0.5% แบบคาดหวัง แต่กรปิดแบบ B2B และได้ user retention และ เกิด trust ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ Search Monopoly สามารถต่อลมหายใจได้อย่างยืดยาวอีกนาน.

 

เราเห็นบางสำนัก มี ad เข้ามาโชว์หรา แต่ดักได้แต่ เหยื่อ และ มือใหม่ เราเองพบว่า Offer บางอย่าง ไม่สามารถขายได้โดยตรงโดยใช้ PPC

แล้วจะทำอย่างไรต่อ ?? 

เทคนิคลับๆ คือการทำ Hybrid. – เราเน้น User Retention และแชรืเทคนิคบ่อยๆ ทำให้แยบยลเพื่อคัดกรอง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้

คนอ่าน ที่พอมีพื้น และมีประสบการณ์ การดำเนินงาน หรือ ลองจัดแคมเปญมาแล้ว จะมีบาดแผลลึกที่เขาเองก็เจอ Pain point ในแบบที่ Search monopoly ได้กล่าวถึงอยู่บ่อยๆ

ตราบใดที่ Agency ได้ป้อนแผลเจ็บบาดลึกให้กับลูกค้า ใหญ่ๆ

นั่นคือ โอกาสธุรกิจของ Search Monopoly ทั้งนั้น

วิเคราะห์ ผลลัพธ์ พฤติกรรม การเสพย์ เนื้อหา พร้อม DATA Analysis

หลักการจากทดลอง แรก ที่ได้ร่วมกับ DIKW ทำการ วิจัย เล็กๆ แนว Hackathon ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

สิ่งที่เราค้นพบ จากการวิจัย และใช้เครื่องมือ Web Traffic and user behavior analysis & performance impacts ของทาง DIKW ทำการจับวัดพฤติกรรม ของผู้ใช้งาน ระดับ Engagement
และได้ จับวัดพฤติกรรม ของ user กลุ่มที่ไม่ engagement
เราได้ พบว่า บทความ ที่เราสร้าง บริบท (Context) โดยมีเป้ามายของ Expected outcomes อยู่ในระดับ การใช้งานที่ดี นั้น อยู่ในช่วง 75 วินาที - 120 วินาที
และเราได้ทำการ set ค่า การใช้งานระดับ high engage คือวัด พฤติกรรม ที่ user เข้ามาเสพย์เนื้อหา ต่อจาก หน้า Landing page

ทำให้เราพบ ความแตกแต่งของ กลุ่มพฤติกรรมของ user ในแต่และ Facebook Channels ได้อย่างชัดเจน

ที่น่าสนใจมากๆ ของ เครื่องมือ ทางทีม DIKW ที่ได้ทำการพัฒนาเข้ามา สามารถ ทำการ monitor และทำการ วิเคราะห์ โอกาส การเปิด cover page หรือ Text Message หรือ Copy ads ต่างๆ แล้วนะมา วิเคราะห์ คำนวณเป็น score ได้อย่างรวดเร็ว 

และที่สำคัญ ทีมนี้ สามารถ สร้าง เครื่องมือที่เป็น data intelligent ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรารู้กระบวนการ ของการทำงานเพื่อให้เกิด outcomes ที่เราคาดหวังไว้ 

สิ่ง ที่เป็นความรู้เดิมๆ กลับไม่ใช่ผลลัพธ์ ของการคาดหวัง ในโจทย์ของการพัฒนา user retention หรือ การทำ purchasing funnels ที่ดี 

เราค้นพบ สิ่งที่ลึกและละเอียดมากๆ ของ core ของการตัดสินใจ ของผู้ใช้งาน และเข้าใจว่าพวกเขา คิดค้นหาอะไรอยู่ 

ผู้คนส่วนใหญ่ จะเลือกในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ โดย บทความที่ผ่านมา เราได้ จัดทำเพื่อการ research และดูพฤติกรรม ของคนที่มีสมาธิในการอ่านบทความ ที่อ่านยาก และไม่ได้ benefit มากอย่างที่เขาจะคิด และมีเนื้อหา ที่เป็น technical จำนวนมาก 

 

เราได้กรองคนที่เข้ามาอ่าน และ สร้าง Flow ที่มี reward เพื่อทดสอบ ดูว่า จะมีใครสักกี่คน ในกลุ่มคนที่เข้ามาอ่าน จะเป็น trigger ที่เป็น core benefits ของ flow ที่เราวางไว้ 

 

เรากลับพบว่า มี user จำนวนหนึ่ง ที่เข้าใจ Flow ของบทความนี้ แล้ว กด Click ตาม Flow ที่เราวางไว้ 

ส่วน reward ที่เขาได้ ก็เกิด conversion หรือเกิดการ Download เกิดขึ้นจริงๆ 

 

อันนี้ คือเป้าหมายสำคัญ ที่เรา สนใจศึกษา แฃะได้ข้อสรุปดังนี้ 

 

conversion หรือการทำ sale funnel ต้อง ตรงกับ สิ่งที่เขาเข้ามาค้นหาจริงๆ 

การพัฒนา conversion ต้องดู stage และระดับการตัดสินใจ ของ user ในระดับ บุคคล 

Interest หรือ target audience เป็นแค่ตัวกำหนด size ของ ประชากร แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะมา convert เป็นลูกค้า 

การขายของทาง Facebook ควรจะให้เวลา user ทำความรู้จักเรามากกว่า การขโมยซีน ด้วยการทำ Ads โฆษณา เพื่อมาโกย offer และ ปิด deal.

กรขายของ หรือการทำ sale funnel ทาง Facebook ก็เสมือนหา ผู้ติดตามพันธุ์แท้ เราทำอย่างไรก็ยากที่จะ convince คนได้ใน First Shot. 

หากคุณไม่มีต้นทุนในการ โฆษณา มากๆ ให้ลองหาเวลาทำการ วิเคราะห์ channels ดีๆ และ สร้าง user retention ที่ดีกว่า 

เรื่องของ UX มีส่วนสำคัญ ไม่น้อยไปกว่า การทำ SEO หรือการทำ channels เลย เพียงแต่ ยังวัดค่า user preference ยาก 

การ research นี้ ทำให้เรา ต้อง focus ไปที่ ตัว touch point ของ flow ในระดับ offer 

สร้าง offer ที่ให้คนเห็นง่ายๆ เกินไป จะทำให้ meaning ของ reward สูญเสียได้โดยง่าย 

การทำ เนื้อหา เราต้อง วัดให้ได้ก่อน ว่า มีกี่ คน (Users) กันแน่ ที่สนใจ บทความนี้ จริงๆ

user ที่เป็นระดับ customer หรือ ระดับที่จะเข้ามาหา solution เขาจะทำการ observe flow ของเรา และเข้าใจการใช้งาน และ ค่อยๆ observe เนื้อหาของเรา

 

User ชนิดต่างๆ ใน Google Analytics มีอะไรบ้าง มาดูกัน

อีกแป๊บเดียว Product เทพๆ เกี่ยวกับ Web Analytics Tool และการเช็ค Traffic ให้เว็บ จากค่าย DIKW ก็กำลัง จะออกมาสู่ตลาดแล้ว เมื่อวาน ได้ไปสอนที่ระบบ The War Room เกี่ยวกับการทำ โฆษณา Google AdWords ให้แบบฟรีๆ โดยเน้นสอนเรื่อง การทำ UTM Tracking ซึ่งปล่อยของ ออกไป อย่างละเอียด และต้องขอบอกว่า หาอ่านไม่ได้ที่ไหน แม้แต่ใน เว็บ Search Monopoly ก็ตาม หากสนใจ โปรดติดตาม ในระบบ The War Room และสมัคร เข้ามาเรียนกันนะครับ

ตอนนี้ ผมขอเขียน ให้ ท่านเจ้าของกิจการ และ SME ที่กำลังอยาก วัด Performance ใน Google Analytics เป็นนั้น มาเรียนรู้การใช้งาน และเข้าใจ Terminology แบบ เข้าใจง่ายๆ เพื่อช่วยเหลือในเรื่อง การวิเคราะห์ Traffic ของเว็บ ในโอกาสต่อไปนะครับ

 

เอาเป็นว่า ใครที่ยังดู Google Analytics ยังไม่เป็นเนี่ย ต้องขอบอกว่า เป็นห่วงมากๆนะครับ แต่ขอเป็นห่วงแบบห่างๆครับ เพราะพวกคุณกำลังจะจมน้ำกันทีละท่านนะครับ ใครที่ไหวตัวทัน มาเริ่มเรียนรู้เลยครับ สมัยนี้ มันวัดกันที่ Quality และ Flow เป็นหลักครับ ทั้ง SEO และทุก Channels อย่าลืม สร้าง Flow Logic ของคุณ ให้แข็งแรงก่อนครับ ก่อนจะไปทำอะไร และอย่ารออยู่เฉยๆครับ Trend มาเร็วไปเร็ว ใครช้าก็ ปิดประตูโรงงานครับ

 

เข้าเรื่อง User กัน !

ก่อนอื่น สำหรับผู้ใช้ Google Analytics ในการ วัด Web Traffic มือใหม่ ที่ยังไม่มี ทักษะ หรือความเชี่ยวชาญ ในเรื่อง Terminology ต่างๆ ที่ Google Analytics Tool เขาใช้นะครับ ผมจะทยอยเขียนบทความเกี่ยวกับ Dimension กับ Metrics ว่ามันต่างกันอย่างไร แต่ตอนนี้ ยังไม่ต้องไปเข้าใจมัน อยากให้ผู้อ่านเรียนรู้ เกี่ยวกับ เรื่อง การใช้ Dimensions และ Metrics ต่างๆ ในหมวดหมู่ของ User นะครับ

อันดับแรก เรื่อง User นั้นสำคัญ เพราะ User คือคน ครับ บ้านใคร ใช้แมวพิมพิ์ อันนี้ ผมไม่อาจวิเคราะห์ การตลาดให้ได้แล้วนะครับ Advance เกินขอบเขตความสามารถของผมแล้ว

ขอกล่าวถึง scope ว่า web users = คน
user เข้ามาในเว็บ 1 คน 1 ครั้ง หมายถึง 1 user และ 1 session
session ก็คือ การเข้ามาของ user กี่ครั้ง

ถ้า Google Analytics Report ว่า

Monday 1 July 2018 = 1 User | 3 Sessions |

นั่นหมายความว่า วันนี้ มีคนเข้าเว็บเรา 1 คน และ นายคนนั้น เข้าเว็บเรา 3 ครั้ง
และในวันเดียวกัน เราก็จะได้ Report อีก Metric นึง คือ Pageviews
ไอ้ Pageview คือจำนวน หน้าที่ เปิดครับ เช่น

Monday 1 July 2018 = 1 User | 3 Sessions | 28 Pageviews

 

หมายถึง อะไรครับ ?

คำตอบ คือ มี คนเข้าเว็บเรา 1 คน และเข้าเว็บเรา ถึง 3 ครั้ง และ ใน 3 ครั้งนั้น มีการเปิดหน้าเว็บเรา รวมแล้ว 28 หน้า

เลขตัวนี้ ให้ความหมายอะไรกับเรา ? ไว้อ่านต่อตอนหน้า จะเขียน เกี่ยวกับ การใช้งาน ของผู้ชมเว็บ อย่างละเอียด
ส่วนตอนที่แล้ว ผมได้เขียน เนื้อหา ที่สอน ในระบบ The War Room ในบทที่เรียกว่า “การดูพฤติกรรม ผู้เข้าชมเว็บ ผ่านทาง Google Analytics – User Explorer” อันนี้ ใช้สอนในคลาส การทำ โฆษณา Google AdWords ให้มีประสิทธิภาพ

 

ีuser dimension และ metrics

มาเข้าเรื่อง สำคัญกันได้แล้วครับ ว่า user แต่ละ ตัว ที่ Google Analytics ใช้นั้น มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง และผมจะลองใช้การ ดึง ข้อมูลตัวเลขจริงๆ จาก Google Analytics ให้ดูครับ

 

กลุ่มของ Dimension (ต่อไปนี้จะเรียกว่า Dims)

  • ga:userType
  • ga:sessionCount
  • ga:daySinceLastSession
  • ga:daysDefinedValue
  • ga:userBucket

กลุ่ม user ที่อยู่ใน metric  (ต่อไปนี้ขอเรียกว่าแกนวัด)

  • ga:user
  • ga:newUsers
  • ga:percentNewSessions
  • ga:1dayUsers
  • ga:7dayUsers
  • ga:14dayUsers
  • ga:30dayUsers
  • ga:sessionPerUser

 

User Dims ที่ 1 – User Type

User Type คือการวัดค่า ของ จำนวน New User และ จำนวน Return User ที่เข้ามาในเว็บของเรา

เราควรลองดูบ่อยๆ ว่าแต่ละเดือน มีคน return เข้าเว็บเราในอัตตรา กี่ % เทียบกับ เดือนที่ผ่านมา

บางเดือน ที่เราทำ Campaign มากๆเข้า ก็ต้องวิเคราะห์ จากที่ผ่านมาว่า เป็น Campaign ในรูปแบบใด และการสร้าง เนื้อต่างๆ นั้น ได้ commit ให้ user กลับเข้ามาใช้งานหรือไม่ ลองมาดู ตัวเลข เมื่อเรา หยอด แกนวัด ของ Metric ลงไป โดยเอา Search Monopoly เป็นตัวอย่างการวัดค่าดูครับ

เราได้หยอดแกน เพื่อให้ตัวเลขขึ้นมา อย่างเช่น จำนวน user ระหว่าง new user VS return user ว่าเป็นสัดส่วนเท่าไหร่กัน ?

ประเด็นต่อมา ก็หยอดแกนวัด ที่เราอยากรู้ต่างๆ ให้ตัวเลขมาตอบโจทย์ การวัดพฤติกรรมที่เราอยาก ค้นหา ในเว็บของเราเอง

 

อันนี้ เราลอง Fetch Data มาทำ Report โดยใช้ User Type ใน Google Analytics (update ทุกวัน)

Chart – User Type ของ Search Monopoly

ลองนำ Metrics ของกลุ่ม Users มาลงแทน

fig: the session Per User By User Type – Return and New Users
หากลอง Plot กราฟ ให้เป็น การใช้งานของ user เราจะพบว่า Google Analytics สามารถคัดกรอง user ที่เป็น New และ ที่เป็น Return และสามารถวัด Session Per User โดนเอาตัวเลข โดย เฉลี่ย มาหยอดลงใน แกนวัดได้ด้วย ทำให้เรารู้ ระดับ ของ การกลับมาของเว็บของเรา
แต่ผมแนะนำให้ทำ segment เพิ่มเติมครับ ไอ้กราฟนี้ บ่งชี้อะไรไม่ได้เลย ไว้ทำหลอกลูกค้า และ หลอกเจ้านายที่ บริษัท ไปวันๆ ครับ ของดี ต้องมี Deep Insight มากกว่านี้ครับ

ลองทำ วัดค่า โดยหยอด Active Users ลงไปบ้าง

โดยส่วนตัว พอทำออกมาแล้ว ผมชอบกราฟนี้มากๆ เพราะ ทำให้เรา นำมาวัดอัตตรา Conversion Rate กับ traffic ที่เรา สร้าง และ ระยะ เวลาของการ เติบโต ที่เรารู้ว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างในปีที่ผ่านมา อันนี้ แนะนำให้ ใช้ควบคู่กับการทำ Analysis Bible ของระบบ “The War Room” แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตนั้นสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นทีเดียว

บทสรุป ของ บทความนี้
คุณโปรด พิจารณา เล็กเห็นความสำคัญของการ อ่านค่า Google Analytics ให้เป็น และ ให้เรียนรู้ การใช้งาน Google Analytics อย่างละเอียด จะช่วยทุ่นเวลาการทำงานของคุณได้มาก และ จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเว็บได้อย่างถูกจุด โดยเรานั้นแข่งกับตนเอง ถ้าเราไม่เรียนรู้ หรือไม่ทำอะไรเลย Platform หรือ เว็บของเราที่ Go Online นั้น ไม่สามารถทำตลาดอะไรได้ เพราะเราไม่รู้พฤติกรรม หรือ การเติบโตของเว็บของเรา ต้องไปในทิศทางไหน

หากเรียนรู้ บทความฉบับหน้า จะมีการเขียนถึงการวัด performance ของ Channels และการทำ sale funnels ต่างๆ โดยวัดค่า Effective Ads หรือ ประสิทธิภาพของการทำ โฆษณา ออนไลน์นั่นเอง

การพัฒนาเว็บ เราควรต้องเห็น รูปแบบและทิศทางการเติบโต ทั้งภาพรวมและภาพระเอียด เพื่อให้ภาพละเอียดที่เราทำการ Filter ต่างๆ หรือทำ Segment ต่างๆ จะ reflect หรือ สะท้อน การเติบโตของเว็บเรา ก็เหมือนกับการหัดเลี้ยง อะไรให้มันเติบโต เช่นการปลูกต้นไม้ เราต้องรู้ว่าต้นไม้เราโตด้วยการผสมสูตรปุ๋ยอย่างไรลงไป อันนี้แหละ มันจะรุ่งเรือง

เราจะรู้เทคนิคภายในของเรา ที่คนอื่นไม่รู้ และ วัดประสิทธิภาพ ของ Agency ที่เราได้จัดจ้าง พวกเขาไปนั้น มันได้เรื่องอย่างที่กล่าวอ้างไว้หรือเปล่า
เท่าที่สัมผัสมาแล้วนั้น เราพบว่า เจ้าของกิจการนั้นทำไม่เป็นแล้วไม่มาเรียนรู้ ก็เลยไม่เข้าใจว่า จะทำให้เว็บมีการเติบโตที่ดีนี้ มันจะต้องเกิดจากอะไรกันแน่ ?
มันต้องหาคนมาเข้าเว็บเยอะๆ จริงๆหรือเปล่า ?
หรือการจะขายของ เราต้องการ การทำโฆษณา ที่มีความเกินความจำเป็นไปไหม ?
ลูกค้าจะเข้ามาหาเราได้อย่างไร ?
ลูกค้าซ่อนอยู่ที่ไหน ทำไม ไม่ติดต่อมาหาเรา ?

คำถามพวกนี้ มันจะบอกด้วยตัวเลข และความเชี่ยวชาญของการใช้ตัวเลขของ Google Analytics นั่นเอง

วันนี้ เราให้แค่เรื่องของ การใช้งานใน มิติ ของ User
คราวหน้า จะมี การประยุกต์ การใช้งาน และ user experience ว่าจะต้องดูอย่างไร
หากใคสนใจ ลองติดต่อสอบถาม Search Monopoly เรามีทีมโหดๆ ที่สามารถให้คำปรึกษาคุณได้ทันที

ความเจ๋ง ของ User นั้น ทาง DIKW ได้พัฒนา รายงาน ทางการตลาด ที่จะใช้ในระดับ Real Time ในอนาคตด้วย
ลองดู User Realtime ใน “Real Time Reporting API” ของ Google Analytics Report Help ในกลุ่มของ User

 

การทำ Event Tracking ใน Google Analytics ด้วย Tag Manager

ใครที่ยังทำ Google Analytics Event Tracking ไม่เป็น เดี๋ยวให้ติดต่อสอบถามวิธีการทำ Event Tracking ใน Google Analytics ได้ที่ Fanpage ของ Search Monopoly กันก่อนนะครับ รู้สึกจะ สอบถามมาจำนวนมากๆ แต่รู้สึกยินดีมากๆ ที่ผู้ประกอบการและเจ้าของเว็บไซต์ของเรา เริ่มตื่นตัวกับการเล่น DATA Analytics ในระดับ Event Tracking กันแล้ว

ช่วงนี้ ทำ campaign ที่ specific มากๆ ให้กับลูกค้ารายหนึ่ง และ ได้พัฒนา Tracking Tool ให้กับ Business Partner รายหนึ่ง สำหรับ ทำ Tool มาขายโครงการใหญ่ๆ เพื่อ ลดบทบาทของ Web Reporter เพิ่ม ส่งเสริมสังคม Web Analyst ให้ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

โจทย์ที่ได้มาพร้อมๆกัน คือเรื่อง การทำ Customs - Variables ให้กับ Event ต่างๆ ที่เราทำการ Track ใน Event Tracking. ใน Google Analytics
คำถามคือ - มันทำอย่างไร ? บทความนี้ อาจไม่ได้บอกละเอียดนะครับ เนื่องจาก มันเป็น Policy เงื่อนไข ความลับทางการค้า หากสนใจ แนะนำให้ลอง เข้ามาศึกษา โดย ซื้อ E-Book เกี่ยวกับ การ Implements งาน เรื่อง Google Analytics Event Tracking by Google Tag Manager Tool. โดย E-Book ฉบับนี้ ขายให้กับคนที่มีพื้นฐาน ระดับกลาง และ ระดับสูง เพื่อเน้นการวิเคราะห์เว็บไซต์ Traffic เชิงลึก (ใครยังมือใหม่ แนะนำให้อ่าน "การเช็ค Traffic ให้เว็บ" ก่อนนะครับ )

แจ้งข่าว ความเคลื่อนไหว

ตอนนี้ กลุ่มธุรกิจ เครือ DIKW กำลังสนใจเข้าร่วมเป็น Joint Venture เพื่อทำ StartUp กับทาง Search Monopoly อยู่ - ซึ่ง ที่มาของพวกเขา ก็มาจาก Wisdom ของการสร้าง DATA ในบทความของ DIKW Pyramid ที่ได้เขียนไว้วันก่อนไม่นานนี้เอง

 

เข้าเรื่อง Tag Manager และ Event Tracking

วัตถุประสงค์ เล็กๆ ของการทำ Event Tracking

หลักการคือการใช้เครื่องมือ (Tools) ของ Google's Product สองตัวมา integrate กันเราจะได้ Solution ที่ดียิ่งขึ้น track กันอย่างมันมือ และ ละเอียดมากๆ ทำงานได้ซับซ้อน และเข้าถึง point เป้าหมายที่เราสนใจจริง คือการใช้งานของ user ที่เราสนใจ - การทำ Tool นี้กับทาง DIKW คือเราพยายาม ดักคอไอ้พวกที่ขาย Page-views หรือพวกคลั่ง Page views ห่วยๆ ที่ไม่มีการชี้วัด Quality Traffic ที่เป็นมาตรฐานของตลาดกันครับ

ตอนนี้มี Case Study ที่น่าสนใจ และได้มาทำเป็นโครงการนำร่องตัวอย่าง ได้ Dev. ที่มากด้วยฝีมือมาช่วย coding งาน track flow อย่างละเอียดนี้ ทำให้เรา Learn solution นี้ได้อย่างรวดเร็ว เราสามารถทำ Test Case ได้จำนวนมาก ไม่จำกัด และเข้าใจ outcomes ที่เกิดขึ้นกับ โครงการของเรา ซึ่งตรงนี้จะเป็นงานที่จับต้องได้ และ ทาง Search Monopoly สามารถพัฒนาโปรไฟล์งาน ที่เป็น Professional เพื่อทำออกขาย Enterprise และ ระดับ Corporate เป็นต้น

การทำ Google Analytics Event Tracking สำคัญอย่างไร ?

สำหรับโครงการนี้ จะเขียนใน เทคนิค เพื่อกลยุทธ์เฉพาะทาง จะไม่นำ Fundamental มาอธิบายนะครับ โปรดติดตาม ฉบับหน้าก็แล้วกัน
คนเข้าเว็บ ใช้ Event tracking วัดค่า

ตัวอย่าง ขอใช้รูป อธิบายครับ
จากการกระทำใดๆ ในการใช้งาน และการพัฒนา แคมเปญ โฆษณา Online หรือ Digital Marketing < โน่น นี่ นั่น > หากเรา กำลังโดนตุ๋น จากพวก นักการตลาด ที่ด้อยคุณภาพ เราจะวัดค่า ด้วยการ ทำ tracking ต่างๆ เพื่อวัด performance ของ Channels และ Elements ของเว็บที่เราให้ความสนใจ

เดี๋ยวนี้ พวก Consideration Stages กับ Awareness เริ่มถูกนำออกมาขายกันแล้วใช่ไหมครับ ?
ลองดูโจทย์นี้สิ - ไอ้ Awareness ที่จับต้องได้ ต้องมีคุณลักษณะ ของ user interactions แบบใดกัน ?
แล้ว Quality Scale อยู่ที่ประมาณไหน ?
Wasted - Garbage ค่าขี้ปากขี้คุย ของพวก Digital Agency อยู่ที่ กี่ %
และอีกอย่าง พวกทำงานใน องค์กรใหญ่ๆ จะมีใครรู้บ้างว่าเราจะจับ Feature หรือ การเติบโตของ Feature ในช่วง Period ที่สำคัญ ได้อย่างไร ?
พวกนี้ใช้ Event Tracking ในการบ่งชี้ และ Monitoring สิ่งที่ commit ไว้แล้วทั้งนั้น

ถ้าไม่มี ก็มืดแปดด้าน ทำอะไรก็ยากอีก
ส่วนใหญ่ เท่าที่ทำงาน กับ บริษัท ไทยๆ พวกนี้จะบ้ากราฟ เฉียงขึ้น พวก Actual Vol. ต่างๆ ซึ่งบอกได้เลยว่า ไร้ประโยชน์ และไม่ได้ช่วยในเรื่องของการพัฒนายอดขายได้ Effectiveness ได้เลย หากวัดกันจริงๆ

มีพวก บ้า ท่อง Apple ทู Apple ซึ่ง บอกได้เลยว่า มั่ว....

ความจำเป็น สำหรับ Event Tracking

บาง Element นั้น track การ action, interaction ของ user ให้นับแบบ Page-views ไม่ได้
เราจึงใช้ Event tracking เข้ามา virtual page-views เพื่อ เข้าใจว่า อาจมีการใช้งาน ในส่วนนั้นๆ และสำคัญในการตรวจวัดอยู่แล้ว

STEP แรก - สร้าง Tag Manager Code Container ก่อน

สำหรับท่านที่ยังไม่เคยใช้ Google Tag Manager หากเป็นการใช้งานครั้งแรก ให้เราทำการสร้าง Tag Container ก่อน

การสร้าง Tag Container ทำให้เรา สามารถ ฝัง Tag manager เพื่อทำการ Track ได้อย่างละเอียด

STEP ที่สอง - ให้สร้าง Tag ที่เราอยากจะทำการ Track คือ Google Analytics Universal

step นี้ คือการ กำหนด เครื่องมือ ซึ่ง แนะนำให้ใช้งาน Google Analytics เพราะ Product นี้ ดีกว่า และใช้งานได้ง่ายกว่า ก็อย่างว่าครับ ยุคนี้ ใช้ Google Analytics กันทั่วบ้านทั่วเมือง บอกให้ใช้ตั้งแต่ก่อตั้งเว็บละ ให้ชาวบ้านสนใจมาใช้ตั้งกะปี 2011 ป่านนี้ ผ่านไปแล้ว 5 ปี (2017) ใครยังไม่ได้ใช้เนี่ย บอกได้เลยว่า เสียเปรียบครับ โดยเฉพาะยิ่งพวก ใช้โฆษณาทางฝั่ง SEM , PPC แล้วยิง Ad เพื่อรอ โทรเรียกเข้า แบบนี้ เจ๊งครับ

STEP 3 - Optional การทำ Auto Event Tracking ใน Tag Manager

สร้าง General Tag ที่มัน ฟัง (Listens) สำหรับ ทุกๆ การ Click Link URL
สร้าง Google Analytics Event Tag ที่มันทำการใช้สำหรับ จับการ Click Link นั้นๆ ให้เป็น Trigger

แล้วก็เอามาผูกติดกัน เราก็ทำการ Test Event Tracking ได้แล้ว

event tracking config 1

ประโยชน์ อย่างอื่น ของการใช้ Google Tag Manager

เราสามารถทำการ Track PDF Download ได้ด้วย

การซ่อน User WordPress Login – วิธีป้องกัน ความปลอดภัยให้กับ เวิร์ดเพรส

*** จาก Search Monopoly ***
ปัญหา เรื่องของ Security เป็นเรื่อง การป้องกันจากภายใน อาจจะไม่ใช่เรื่องของการสร้าง Productivity แต่ว่า ทำให้เรา ป้องกัน การสูญเสีย asset หรือทรัพย์สินที่มีมูลค่า คือ “เว็บของเรา” และ “content ของเรา” ซึ่งทาง Search Monopoly จัดเรื่องของ การพัฒนา security จะอยู่ใน stability หรือฝั่งของ Maintain เพื่อคงมูลค่าของธุรกิจ หรือคงมูลค่า Platform ของเราให้ทำธุรกิจสืบทอดไปได้ครับ

จากใจเลย ว่าน่าเบื่อมากๆ พวกที่เช่า Proxy แล้วมาโจมตี Login หลังบ้าน หรือพวกที่เล่นประตูหลังชาวบ้าน

1. เปลี่ยนชื่อ Admin User ด่วนๆ
2. Admin User ID เปลี่ยนใน Data Base ให้เป็น ตัวเลข ที่ Hacker จับยากขึ้น
3. 2 Step Login Authentication นำเข้ามาใช้งาน

เรื่องของการใช้งาน Two Steps Authentication หรือ Google Authenticator
แนะนำให้ใช้งาน Plugin ชื่อว่า Google Authenticator ของ miniOrange

ผมได้ลองศึกษา การ config อีกแบบนึง เป็นแบบ Advance เพิ่มเติมขึ้นมา ลองหาบทความนี้ใน Google Search Engine ดูนะครับ
“How to Add an Admin User to the WordPress Database via MySQL”

solution นี้ สำหรับ เจ้าของเว็บ ที่เคยมีปัญหาแบบผม คือ พวก Hacker รุมเร้า มันเข้ามารู้ user admin ของเราแล้ว
แล้วเราดันไป ใส่ Plugin ให้มัน rejected login และทำ session expired เอาไว้ ทำให้ “เราเอง” หรือ เจ้าของเว็บจริงๆ ไม่สามารถ เข้ามา Login ได้เอง
เพราะ ระบบเรา ไม่ยอมให้ใคร เข้ามา Login เลย หรือ Lock ตายนั่นเอง
สงสัย Hacker จะมาก่อกวน เพียงแค่ให้ ระบบเราตายๆ ไป ทำอะไรเพิ่มเติมไม่ได้ แบบนี้ เห็นได้ชัดว่า ไอ้พวก Hacker มันอาจจะมองเราว่าเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ แล้วก็ น่าจะใช้ วิธีสกปรกในรูปแบบ Spaming Login ให้ระบบเราพังก็เป็นได้ โดยใช้ผ่านทาง Proxy ต่างๆ จากทั่วโลก ทำให้เราจับมือดมไม่ได้

ลองเข้าไปศึกษา URL: นี้ได้เลยครับ
http://www.wpbeginner.com/wp-tutorials/how-to-add-an-admin-user-to-the-wordpress-database-via-mysql/

Keyword คำค้น ที่ใช้ “how to create an admin user in WordPress Database via MySQL.”

STEP ที่ 1 BACKUP DATABASE ก่อนนะครับ ไปที่ MySQL ครับ
Backup ลง LOCAL DISK นะครับ เก็บไว้ก่อน และต้องมั่นใจว่า DISK คุณ ไม่มี Virus นะครับ ถ้า Upload อีกที มี Virus ติดไป ก็ บ๊ายบายครับ ช่วยไรไม่ได้แล้ว

STEP ที่ 2 ให้เข้าไปที่ MySQL – wp_users และ wp_usermeta tables
อันแรก ดูที่ “wp_users” กันก่อนนะครับ
กด menu ของ mySQL ที่ชื่อว่า “insert”

ID = ตัวเลข 1-999 ให้เลือก เลขที่ Hacker เข้าหาไม่เจอ เช่น 744 , 629 , 447 , อะไรแบบนี้ random ไปเรื่อยๆ เราจะเปลี่ยน ID และ User Admin ทุกๆ 7 วัน
เราจะมี Admin Login ใหม่ ทุกๆ 7 วัน แล้ว ปรับ User อื่น ออกไปเป็น User old อันนี้จะบอกเทคนิคทีหลังนะครับ

งานนี้ เหมือนงาน กำจัด แมลงสาบ ที่เข้ามา ตอมบ้านคุณ ที่น่ารำคาญมากๆ ให้มัน Fade ตัวออกไป …

มีเครื่องมืออะไรบ้าง ในการเช็ค Web Traffic

มีเครื่องมืออะไรบ้าง ในการเช็ค Web Traffic

alexa-web-ranking

1.) Alexa Web Ranking Tool - เป็นเครื่องมือยอดนิยมของนักทำการตลาดออนไลน์ ที่ไว้เช็คมือวางอันดับเว็บของตนเอง ว่าอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ของโลก และอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ ของประเทศ เช่นประเทศไทย อย่างเว็บดังๆ อย่าง Sanook จะอยู่อันดับต้นๆ ของการจัดอันดับใน Alexa

ถามว่า การทำเว็บไซต์ ควรมี Alexa Rank อยู่ที่เท่าไหร่ ? -- มีหลายๆท่านใน ThaiSEOBoard แนะนำว่าควรอยู่ที่ 100,000 ขึ้นมา (หมายถึง อันดับน้อยกว่า 100,000) เช่น 45,000 นั่นหมายถึง เว็บเรามี Traffic ที่สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่มี Rank Alexa จำนวนมากๆ เช่น 8,000,000 เป็นต้น

ทัศนะของ Search Monopoly - สำหรับเว็บที่ทำ Organic Traffic ได้อย่างดี ควรมีอันดับอยู่ที่ราวๆ 400,000 - 2,000,000 เป็นค่าประมาณการจากประสบการณ์ตรง และพยายามทำอันดับให้เหนือกว่า 400,000 ขึ้นมา จนมาถึง 100,000 ทีนี้เราจะพอมี ROI ที่เจียดนำมาใช้พัฒนาเว็บให้เป็นระบบใหญ่กว่าและ เสถียรกว่า

 

google-search-console-web-traffic

2.) Google Search Console (Google Webmaster Tool) - เป็นเครื่องมือยอดนิยมสายการทำ SEO แบบ Manual. Google Search Console สามารถวัดค่า Organic และการเติบโตของ Organic Traffic ทาง Google Search Result Page (SERP) ได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ อีกทั้งยังมี API ที่ใช้ประยุกต์กับเครื่องมือให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นไปอีก - - สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่กำลังศึกษาทางด้านการทำ Organic Traffic หรือ SEO และเรียน Online Marketing กับ Search Monopoly ท่านควรได้รับการเรียนรู้เรื่องการใช้งาน Google Search Console ไว้เป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องมือสามัญประจำคนทำการตลาดออนไลน์ ที่มีเว็บไซต์ในการพัฒนาอับดับและการทำ Traffic อีกทั้งยังเป็น Monitoring Tool พื้นฐานสุดๆที่ทำให้เว็บเรามีคุณภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

 

similar-web-traffic

3.) SimilarWeb - เป็นเครื่องมือยอดนิยมของนักการตลาดออนไลน์สาย Digital Marketing ที่ต้องการบุกตลาด และเน้นการแข่งขันที่สูง เครื่องมืออันนี้ ทำให้เราทำ BenchMark Report สำหรับการวิเคราะห์ Traffic ของคู่แข่งได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย การใช้งานไม่ยาก แถมตัวรายงาน (Dashboard) เหมาะกับการทำงานส่งให้แก่นักบริหาร และเหมาะกับสายงานบริการและการตลาดเป็นอย่างยิ่ง สำหรับราคาตัว Pro. ก็ราคาย่อมเยาว์ สำหรับบริษัท อันนี้ไม่แนะนำให้ SME นำไปใช้ เพราะเท่าที่สัมผัส SME เป็นงานที่แข่งกันตนเองมากกว่า ไปแข่งกับคนอื่น

 

google-analytics-traffic-monitoring

4.) Google Analytics - เป็น Tool ที่ผมชอบมากที่สุด เพราะมัน Monitoring ได้อย่างละเอียด สำหรับวัด traffic ที่เกิดขึ้นในเว็บของเรา อีกทั้งยังเข้าใน พฤติกรรมของผู้ใช้งานเว็บว่าเขาชอบเข้ามาดูอะไรและต้องพัฒนาต่อไปทางด้านไหน และมันตอบสนองกับการพัฒนาการทำอันดับ Ranking Signal ได้เป็นอย่างดี ผู้ประกอบการ SME และ นักพัฒนาธุรกิจ และจัดทำเนื้อหาให้กับไซต์ ที่มีแผนพัฒนาเว็บตามการวัดผลเชิงประสิทธิผลจาก Google Analytics จะสามารถสร้างการเติบโตของธุรกิจของคุณได้ดีเยี่ยม ควรมาเรียนรู้ที่ Search Monopoly เรามีเครือข่ายนักธุรกิจ ที่เอาจริงเอาจังกับการพัฒนาเว็บไซต์อย่างมีคุณภาพ และมีการเติบโตสูง

 

Similarweb คืออะไร และ การใช้งาน tool ตัวนี้อย่างละเอียด

ตัวอย่างการใช้งาน SimilarWeb Tool ในการเช็ค Traffic

Overview dashboard - similarweb Tool แสดง Global Traffic

การวัดค่าอันแรก โดยทางเราได้นำเว็บชื่อดังอย่าง Expedia ที่เป็นเว็บเกี่ยวกับการจองโรงแรม ห้องพัก การโรงแรมเป็นหลัก

DashBoard แรกจะเป็น Overview ที่วัดการจัดอันดับจาก SimilarWeb โดย Expedia ทำได้ดี เป็นมือวางอันดับโลกที่ 25,571 แต่เห็นเครื่องหมายลูกศรสีแดงนั่น หมายถึง มือวางอันดับตกลง ทั้งแบบ Global และแบบ Local (Thailand) ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเราจำเป็นต้องดันอันดับให้สูงขึ้น หากเราอยู่ใน Range ที่เราพอใจแล้ว งาน Optimize Traffic และ Usability เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการปั้นแต่ยอดจำนวนผู้เข้าชม เพราะสมัยนี้การ Keep Usages นั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่า

 

 

 

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น2.jpg

 

 

เว็บไซต์ควรมี Traffic และ Expedia ที่ทำเงินล้านได้ เพราะ Traffic ไม่เกี่ยวกับหน้าตาเว็บที่สวยงามแต่อย่างใด – ผู้ประกอบการ SME มักมัวแต่หลงทาง คิดว่าทำเว็บสวยๆ ก็จะทำเงินล้านได้ อันนี้คือการคิดแบบผิดๆ การทำธุรกิจออนไลน์ คือการเรื่องการพัฒนาคุณภาพของ Traffic ไม่ใช่เรื่องของการทำเว็ยสวยๆ แล้วก็เอาไปเก็บไว้ภูมิใจหรืออวดคนใกล้ตัว

 

หากไม่มีแผนการพัฒนาที่ชัดเจน — นั่นหมายความว่าตัวคุณ เจ้าของธุรกิจ หรือไม่ก็หัวหน้าทางฝ่ายการตลาด กำลัง เป็นตัวที่ทำให้ธุรกิจของคุณเจ๊งได้ เพราะไม่ได้มีแผนและความรู้ที่จะสามารถไปพัฒนาธุรกิจให้ได้ยอดขายและการเติบโตตามเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่ควรวางแผนในเชิงกลยุทธ์เอาไว้

 

หากคุณไม่เข้าใจพฤติกรรมของ User และไม่ได้วัดผลจริงจังและไม่เคยได้ตรวจสอบคู่แข่งทางโลกออนไลน์ของคุณ ทางเราขอแนะนำว่า อย่ามีเว็บไซต์เลยเสียดีกว่า กลับไปแจกนามบัตรหรือแจกใบปลิวเหมือนเดิมจะดีที่สุด

 

 

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น3.jpg

เว็บ Expedia ที่จดด้วยโดเมน .co.th ได้ทำการ Target ในประเทศไทย และมี traffic จากประเทศไทย มากกว่า 96% นั่นคือความสำเร็จของเว็บไซต์ ที่มีคนใช้งานอย่างแพร่หลาย และสม่ำเสมออีกด้วย

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น4.jpg

เรื่องที่สำคัญที่สุด คือการวิเคราะห์ Channel ของคนเข้าเว็บ การพัฒนา ธุรกิจออนไลน์ที่ดี ควรพัฒนาโดยหวังผลทางด้าน Organic Traffic เป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งหากต้องการปั้น Brand ของตนเองให้ติดตลาด จะต้องอาศัย Brand Search Keyword และ การทำ Direct Traffic เข้ามาปริมาณมากๆ นั่นคือการสะท้อนให้เราเห็นว่า users ได้เข้ามาที่เว็บไซต์เราตรงๆ และจดจำเว็บของเราได้

 

อันนี้ทาง Search Monopoly ได้เรียกเทคนิคนี้ว่า “เทคนิค 3 ประสาน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาเว็บ Traffic นั่นคือ การจะมี Organic Traffic ที่ดีได้ เราจำเป็นต้องมี Referral Traffic จากแหล่งต่างๆ ในปริมาณที่มากพอที่จะทำอันดับ และการได้ Referral traffic จำนวนมากๆ นั่นหมายถึงการได้ Backlink ที่ทำอย่างธรรมชาติและมีมูลค่าจริงๆ ที่จะนำมาทำอันดับ อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใจเลยว่าทำไม การทำ SEO แบบการสร้าง Backlink เสมือน หรือการทำ PBN นั้นทำไม่ได้ เพราะเว็บส่วนใหญ่ จะเป็น Web ที่ทำ Text Spam ขึ้นมาและไม่ได้มี Traffic ที่มีมูลค่าจริงๆ หาได้ตามเว็บที่รับทำ SEO ที่เน้นการทำอันดับแบบ Keyword เป็นหลัก เว็บเหล่านี้ก็จะทำให้ธุรกิจของคุณเสี่ยงเช่นเดียวกัน

 

เรื่องสามประสานเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก การทำ SEO ให้อันดับติดแบบแน่นๆ ดีๆ คือการทำโฆษณา ลงบทความในเว็บที่เกี่ยวข้องกับเว็บของเราเป็นหลักและเฟ้นหา Target Audience หรือ Target Users ที่อาจจะสนใจ สินค้าหรือบริการของเราจริงๆ ซึ่งการทำ SEO แบบนี้อาจจะมีต้นทุนที่แพงกว่า แต่เหมาะสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้แข็งแรงและยั่งยืน โดยไม่ย่ำอยู่กับที่ด้วยอันดับของ Keyword ชุดเดิมๆ แต่ควรถูกเติมเต็มด้วยความหลากหลายของการค้นหา โดยใช้กลยุทธ์ทางด้าน Content marketing เข้ามาเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญในงานพัฒนาเว็บ

 

ส่วนเรื่อง Social Media ควรเป็นเรื่องรองๆลงไป เพราะการทำให้เว็บนั้นติดตลาด เราต้อง Concern ในเรื่องของการทำ site authority เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก และเป้าหมายเพื่อการค้นหาพบใน Google เพื่อให้สินค้าและบริการของเราเป็นที่รู้จักอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีการค้นหา ก็จะค้นพบอยู่บ่อยๆ

 

การที่เราเน้นทำ Ads โฆษณา ก็คือการฆ่าตัวตายให้กับธุรกิจของเราอีกทางหนึ่งเลยทีเดียว เพราะเราจะไม่สามารถค้นพบช่องทางที่สร้าง Traffic คุณภาพ และเราจะไม่ค้นพบผู้ที่ต้องการเรียนรู้และเลือกสรรในสินค้าและบริการของธุรกิจของเราจริงๆ ซึ่งการพัฒนาเว็บจะต้องระวังเรื่องการโฆษณาที่เกินตัว และไม่ก่อให้เกิด ROI และไม่มีการเติบโตในระยะยาว

 

ทั้งนี้การพัฒนาเว็บไซต์อย่างยั่งยืน ระบบของเราจะโตไปทุกทิศทุกทาง เรื่องของการปั้น ชื่อ Brand ของเรา อาจใช้ Social Media มาเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อน แต่ไม่ควรนำมาเป็นเครื่องมือในการสร้างยอดขายอย่างถาวร เพราะเรื่องของ Trand Coverage ที่จะส่ง Impact มาที่ Brand Value นั้นมีปัญจัยที่ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะเรื่องของ Site Visibility ที่ต้องมุ่งเน้นเป็นองค์ประกอบสำคัญกว่า

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น5.jpg

 

เราควรเข้ามาเช็คสม่ำเสมอในเรื่องของ Performance ช่องทางจาก Referral Traffic เพื่อดูว่าคนเข้าชมมาจากเว็บไซต์ใดที่ให้ความสนใจในบทความที่เราได้ลงหรือไปโปรโมตเอาไว้ อยู่ทุกๆวันหรือรายสัปดาห์ การที่ได้ช่องทางการทำ Referral เพิ่มที่ดีมีคุณภาพจะทำให้เว็บของเราทำอับดับได้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วย การทำอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเทคนิคเชิงคุณภาพ บวกกับการพัฒนาการทำอันดับของการเขียนเนื้อหาบทความ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา จะยิ่งส่งเสริมให้เว็บเรา ถูกการใช้งานมาจากทุกทิศทุกทางและมีมูลค่าที่สูงยิ่งๆขึ้นไป

 

 

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น6.jpg

เรื่องของ Organic Traffic เราต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก อย่างเว็บ Expedia นี้มีการค้นหาทาง Search Engine สูงถึง 23% ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าเว็บมีความต้องการในการใช้งานสูง ค้นหาพบและจำเป็นสำหรับผู้ใช้งาน และมันทำให้เราสามารถ Research DATA ที่เข้ามาทาง Organic Traffic นำมาทำ Content ได้อย่างต่อเนื่อง และมีการเติบโตขยายตลาดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตามกำลังแรงของทีมเรา ที่จะพัฒนาเนื้อหาลงเว็บและทำการโปรโมตเว็บผ่านทางช่องทาง Referral ต่างๆ นั่นเอง

 

ดูที่ Paid Search เป็นสัดส่วนเพียงแค่ 17.5% จากช่องทางการ Search เป็นตัวบ่งชี้ว่าการทำ SEO เพื่อให้ติดอันดับทางด้าน Organic จะทำให้เว็บเรามีประสิทธิภาพทางการตลาดมากกว่าการทำ Paid หรือ PPC เพียงอย่างเดียว การบริหารจัดการงบทางการตลาดนั้นสำคัญมากๆ เราไม่ควรพึ่งพา PPC มากจนเกินไปหากเว็บคุณมีแต่การโฆษณาทาง PPC เพื่อหวังผลให้ได้ยอดขายนั้น — อนาคตของเว็บคุณก็จะดับสูญสลาย และธุรกิจก็ล่มกระจาย ไม่มีวันกู่ได้กลับมาอีกด้วย

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น7.jpg

อย่างที่กล่าวไว้ Social ไว้ทำปฏิสัมพันธ์กับฐานลูกค้าและทำให้เว็บเรามีตัวตนมีเรื่องราวมากยิ่งขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ใช้งาน Internet แต่นั่นไม่ใช่ช่องทาง ทางการค้าหลัก เพราะเว็บไซต์ หรือธุรกิจออนไลน์ ต้องการพัฒนา ช่องทาง สามประสานหลักๆก่อนที่จะมามุ่งเน้นในเรื่องของการสร้าง Brand เพราะถ้าเว็บคุณไม่มีการติดอันดับ และไม่ได้มี Traffic อย่างจริงจัง ไม่รู้เรื่องของ User Behavior นั่นก็ทำให้ brand ของคุณไม่ได้เป็นที่จดจำ และไม่ได้มีการ Return เข้ามาในเชิงของ Business Value ที่สามารถวัดผลได้

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น8.jpg

Display เป็นเรื่องที่ทำให้ Brand ของเราถูกผ่านสายตาผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว แต่เราต้องรู้ว่า สิ่งที่ควรถูกผ่านสายตา ควรมี Meaning หรือความหมายในใจของผู้ที่มองเห็นอยู่ก่อนแล้ว การผ่านสายตาด้วย Display เป็นเรื่องของการส่งข้อความให้ตระหนักสั้นๆ อย่างจับใจ เพื่อการกันลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้าง โปรโมชั่นเพื่อการลดราคาหรือมีข้อเสนอ Offer ที่ใหม่ๆ น่าตื่นใจ

 

แต่หากเว็บคุณยังไม่มี User ที่เข้ามาใช้งาน ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้งานเว็บของคุณ การทำ Display Ads เยอะๆ ที่มีแต่ เสียเวลาเปล่า.

เช็ค-web-traffic-เบื้องต้น9.jpg

เครื่องมือ SimilarWeb มีอีกช่วงนึงที่คุณสามารถนำไปวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วว่าเว็บเรานั้นเข้าข่ายเป็นเว็บที่ดูคล้ายๆกับเว็บใดในเรื่องของ Traffic และคุณภาพ Traffic ทีเราได้รับ นั่นจะยิ่งช่วยให้คุณ เข้าไปศึกษาอย่างละเอียดเพื่อมองหาชุดแข็งและจุดอ่อนให้กับโครงสร้างเว็บ และเนื้อหาในเว็บของคุณ อีกทั้งเราต้องกลับมาที่แผนพัฒนาธุรกิจของเราว่าสมควรที่จะเพิ่มเติมหรือ Utillize ในจุดใดเพื่อให้เกิดยอดขายที่ดีกว่าคู่แข่งและหา Innovation ใหม่ๆ ที่คู่แข่งของเรา เดินตามได้ยาก เพื่อเพิ่มจุดแข็งที่เรามีแล้วให้โดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก และมันจะกลายมาเป็นแผนการพัฒนาการตลาดออนไลฯืได้ในอนาคตต่อๆไป

การติดตั้ง Google Analytics ลงใน WordPress แบบ Basic

หลังจากที่ได้พัฒนาเนื้อหา E-Book สำหรับผู้ใช้งาน WordPress ที่จะทำ Google Analytics แบบ Advance เพื่อเน้นการเพิ่มยอดขาย ในคราวก่อนหน้านี้
วันนี้ผมได้เพิ่มเติม E-Book สุด Basic สำหรับ SME หรือ มือใหม่ในวงการ Online Marketing ที่กำลังทำ WordPress ได้เรียนรู้การ ติดตั้ง Google Analytics แบบพื้นฐานกันครับ

หลังจากที่ได้ทำเว็บให้ลูกค้า ที่เป็นเว็บยุคสุดยอดรุ่นโบราณ ให้กลายเป็นน้องใหม่ ด้วย WordPress CMS ตามภาพที่เห็นนะครับ

home page wordPress CMS
เว็บ WorsPress เพิ่มทำเสร็จใหม่ๆ

STEP ที่ 1 การสมัคร เพื่อใช้งาน Google Analytics

เข้าไปที่ Google Analytics ก่อน คลิก ที่ URL นี้เลยครับ > https://www.google.com/analytics/

เมื่อคุณเข้าไปแล้ว จะเห็น หน้า Landing page หรือ Homepage ของ Google Analytics เลยครับ ตามรูปนี้เลย
Google analytics homepage

 

การ sign in บัญชี google analytics

จากนั้นให้ท่าน กด คลิก ที่ Sign in เพื่อทำการเข้าสู่ บัญชี Google Analytics ก่อนนะครับ 

การเข้าสู่ Google analytics tool

ทำการกด เลือก Product บนสุด จะเขียนว่า "Analytics"

หลังจากเข้าไปสมัคร บัญชี Google Account แล้ว หรือ ท่านที่มี Login แล้ว ก็สามารถเข้าไปใช้งาน Google Analytics Tool ได้ทันที

STEP ที่ 2 การสมัคร เพื่อใช้งาน Google Analytics

เข้าไปที่ Google Analytics ก่อน คลิก ที่ URL นี้เลยครับ > https://www.google.com/analytics/

เมื่อคุณเข้าไปแล้ว จะเห็น หน้า Landing page หรือ Homepage ของ Google Analytics เลยครับ ตามรูปนี้เลย
Google analytics homepage

หลังจากเข้าไปสมัคร บัญชี Google Account แล้ว หรือ ท่านที่มี Login แล้ว ก็สามารถเข้าไปใช้งาน Google Analytics Tool ได้ทันที

Google analytics solution blog

ก่อนอื่น Google Analytics ในปี 2017 นี้ ได้มีการปรับเปลี่ยน UI ใหม่แล้ว ทำให้อ่านค่า ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
อยากให้ลองไปศึกษา และ ติดตามข่าว Google Analytics Official Site ของ Google ได้เองเลยนะครับที่ URL นี้เลย > https://analytics.googleblog.com/2017/04/effortless-analytics-new-google.html

การติดตั้ง page goal value ใน Google analytics

การทำ Backlink – หา ลิงค์ เพื่อการทำ อันดับ SEO

Do Backlinks Still Matter for SEO (2017) ?

ถ้าให้ Search Monopoly กล่าว บอกตรงๆ ว่า สำคัญมากกว่าปีที่ผ่านๆมาอีกครับ

คนที่พัฒนา โครงสร้าง และ ความแข็งแรงของ Backlink ยิ่งช้าเท่าไหร่ คุณยิ่ง เพิ่มต้นทุน ให้แก่ธุรกิจของตนเองในอนาคตมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้ SEO Rate ในไทย จากแต่ก่อน สมัยสัก 10 ปีที่แล้ว ตกเดือนละ 1,900 บาท - 2,500 บาท

สมัยนี้ ค่าดูแล SEO สายคุรภาพ ก็ราวๆ ที่ 20,000 บาทแล้วครับ บวกค่า Backlink ที่จมลงไปอีก
บอกตรงๆ ว่า ปี 2017 ค่า SEO + Backlink ก็ราวๆ 60,000 บาทแล้วครับ

ประมาณการคร่าวๆ - คนทำ Backlink ตอนนี้ ประหยัดได้ 250,000 ต่อเดือน ในอีก 10 ปีข้างหน้า

อย่ารีรอ ที่จะหาวิธีการทำ Backlink เพื่อการจัดอันดับ SEO ครับ และทำมันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด 

บทความนี้ ใครคิดว่าผม นั่งเทียน เขียนขึ้นมาเอง ให้ไปค้นหา และศึกษา จากบทความใน Google นะครับ
แปลเอาเองครับ : Do Back links Still Matter ?

seo authority backlink checkers

ให้ดูภาพ โดยให้ เว็บ โดเมน "SearchMonopoly.com" เช็คด้วยตนเอง เราก็พบว่า Moz Tool Checker นั้น ให้คะแนนรายงานกลับมาครับ
ซึ่งผมคาดเดาของตนเองในปีนี้ (2017) ไว้ต่ำมากๆ ไม่น่าเกิน 30
คะแนน DA ตอนนี้ผมได้ 26 / 100 ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่กลัว ตัวใหญ่ครับ
ผมเองมีเครื่องมือที่ตรวจสอบได้ลึกละเอียดกว่านี้ ให้เครื่องมือสาย Onpage เข้ามาช่วย
เรื่อง Domain Authority ยังเป็นปัจจัยรองๆ ที่เราสามารถประคองได้อยู่ครับ แต่แท้จริงแล้ว ลองอ่าน บทความเกี่ยวกับ ความสำคัญของค่า DA ในศาสตร์ของการทำ SEO ดูครับ แล้วคุณจะเข้าใจเรื่องการทำอันดับทาง Organic Traffic มากยิ่งขึ้น

มีเว็บบางแห่ง มาบอกผู้อ่านว่า Backlink ถูกลดความสำคัญ สำหรับการทำ SEO - ซึ่ง ทาง Search Monopoly ต้องขอ สรุปอย่างรวดเร็วเลยว่า ไม่จริงครับ

ทำไม หลายๆ สำนัก เชื่อว่า Backlink มีผลกับการทำ อันดับ ทาง SEO น้อยลง ?

คำตอบคือ - คนทำเว็บ หา Backlink เองไม่ได้ต่างหากครับ และ แหล่งทำเว็บ Authority ในไทย ต่างทำแบบ ไม่มีรูปแบบ ที่แข็งแรงมากพอ

พูดง่ายๆ คือ การทำ Backlink ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆครับ ยิ่งนานวัน โอกาส การทำ Backlink ยิ่งแคบลง

คนที่เริ่มทำ Backlink ในวันนี้ จะไปสู้ คนที่ทำ Backlink เมื่อ 5 ปีที่แล้ว อย่างไรครับ ?

PBN คืออะไร ? – ทำแล้วเสี่ยงไหม ? | เทคนิค SEO สายดำ เทา

ยังไม่ได้มีแผนเขียนเรื่อง การทำ PBN ให้กับ งาน SEO เสียสักเท่าไหร่ เพราะ มองว่าไม่ค่อยมีความจำเป็น แต่เห็นว่า มีคนหลายคน ยังหลงทางไปทำ Private Network Blog ในแบบ Spam กันอยู่ เพื่อเอาการจัดอันดับทาง Search Engine (Google) กันแบบง่ายๆ และสะดวกรวดเร็ว

ผมเห็น พวก บริษัท รับทำ SEO ที่อยู่อันดับต้นๆ ใน Google Search Engine นิยม เอาระบบ PBN มาปล่อยขาย แล้วระบบ เน็ตเสิร์คส่วนตัว ก็มักใช้ เครื่องมือ Spin Text จำนวนมากๆ เพื่อผลิต Text Input อันรวดเร็ว เป็นแนวทางการ Manipulate Google ให้เข้าใจว่า พวก Aged Domain ที่เราประมูลมานั้น มันมีการเติบโตของการพัฒนา Content นั้นๆ จริงๆ แต่เมื่อ เราได้เข้าไปดู เนื้อหา หรือการจัดอันดับของ PBN เหล่านั้น ก็ไม่ได้ก่อให้เกิด ประโยชน์อันใด และมันไม่ได้ส่งผลดีต่อการทำอันดับ ได้อย่างเป็นรูปธรรม คือ ที่ผมเห็น มันก็แค่ แกว่งขึ้นมาสูงๆ แล้วก็ร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว

ก็เลยแปลกใจ ทำไม ยังมีคนนิยมไปใช้งาน SEO ราคาถูก และ นิยมการทำ PBN กันอยู่
สังเกตว่า พวกที่ไปใช้บริการ รับทำ SEO ราคาถูก หรือไปเช้า Network PBN เหล่านี้ มักจะเป็น พวกเปิดเว็บฉาบฉวย ไม่ได้ปั้นธุรกิจจริงจัง พวกนี้ มาแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว
พูดง่ายๆ คนกลุ่มนี้ มี 2ประเภท
1. รู้อยู่แก่ใจว่ามาหลอก Google และต้องการ เครือข่าย Spam แบบนี้อยู่แล้ว เพราะสินค้า ไม่ได้ยั่งยืน
2. พวก ไม่รู้จริงๆ คือ ฉลาด ไม่เท่าทันเกมส์ คนกลุ่มนี้น่าสงสารครับ ธุรกิจอาจดีแล้ว แต่ดันแหย่เท้าลงไปในระบบ Spam Backlink

SEO สมัยนี้ไม่ได้ทำง่ายแล้วครับ ถ้าไม่ได้ทำเชิงคุณภาพ ก็อย่าหวังว่าจะติดอันดับใน Google ได้ในระยะยาวครับ

Class The War Room Lecture #29 – 15 July 2017

สวัสดีครับ สมาชิก The War Room
Class The War Room (Lecture ที่ 29) ประจำวันที่ 15 July 2017
เข้าสู่ สัปดาห์ที่ 29 แล้ว สำหรับ ระบบ The War Room คอร์ส อบรมการทำ การตลาดออนไลน์ Google AdWords หรือ PPC ที่ทุกคน สนใจศึกษา
Search Monopoly สร้าง กิจกรรม Class Room นี้ขึ้นฟรี สำหรับสร้าง เครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ เราพยายามช่วยเหลือ ผู้ประกอบการ SME ให้เรียนรู้ หลักการทำ Google AdWords อย่างมืออาชีพ ไม่ใช่เพียงแต่ เรียนทำ AdWords แบบ งูๆปลาๆ หรือมาสอน ทำการ Set Up Campaign อย่างเดียวครับ

เนื้อหา ของระบบ The War Room จะเข้มข้นมากๆ โดย Base จากการพัฒนา เว็บไซต์ โดยใช้ Platform ของ WordPress เป็นหลัก
เราเลือก WordPress มาทำ เพื่อการ Custom Page ได้ง่าย และทำให้เว็บ ติดอันดับได้ดี และรวดเร็ว อีกทั้ง ประหยัดต้นทุนได้มากๆ

เรื่องรายละเอียดเพิ่มเติม ท่านโปรดเข้าไปดู หลักการ ของ Class ระบบ The War Room ของ Search Monopoly ครับ

เล่าเรื่อง ว่า วันนี้ ไปดูแลเว็บ ให้ลูกค้า รายหนึ่ง ที่ใช้ WordPress เหมือนกัน และมีการทำอันดับที่ดีเยี่ยม เว็บไซต์ มีการเติบโตที่สูงมาก (มีการทำ SEO และ พัฒนา การเติบโต ของ Organic Traffic เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง)

ตอนนี้ เจอโจทย์ ที่น่าเรียนรู้ใหม่ คือเรื่องของการพัฒนา Sale Funnel ซึ่งจะวิเคราะห์มาจาก Google Analytics
จากการทำ PPC Campaign ของ ลูกค้ารายนี้ เราพบว่า ยังมีปัญหาติดขัดในเรื่องของการปิดการขาย ผ่านทางบัตรเครดิต ซึ่งบอกได้เลยว่าเป็นปัญหา ที่แก้ไขยาก เนื่องเพราะ ระบบ WooCommerce นั้นไม่ค่อย ตอบสนองการซื้อสินค้าของคนไทย ได้อย่างราบรื่น นั่นคืออีกหนึ่งตัวอย่าง ที่เราต้องให้ความสำคัญในการ Monitor และ วิเคราะห์ปัญหา ที่ฝังอยู่ในระบบ ที่ซ่อนอยู่ เรื่องของ การขายของออนไลน์ ไม่ใช่ เพียงแค่การคิดรังหาแต่เรื่อง โฆษณา และ การตลาดเท่านั้น แต่เรื่อง การพัฒนาเว็บ ก็เป็นเรื่อง ที่ผู้ประกอบการ ต้องเอาใจใส่ และพัฒนามันอย่างต่อเนื่องครับ

ลองถามพวก SME เอง พวกเขาก็ไม่ค่อยรู้นะว่าทำไม ยอดขายทาง ออนไลน์ มันจึงหายๆ ไป เรามักจะโทษว่า เศรษฐกิจไม่ดี ซบเซา — อันที่จริงแล้ว เรามัวแต่โทษแต่ปัจจัยภายนอก และไม่ได้มองให้เห็นปัญหาที่เกิดจากปัจจัยภายใน

เรามองหาไม่เป็นเองแหละครับ ว่าปัญหาจากปัจจัยภายใน เกิดขึ้นที่ตรงไหน ?? ทำไมการใช้งานของ User ไม่ดีบ้าง ? ไม่ดีที่ไหน ? พวกเรามักหาคำตอบไม่เจอ และไม่รู้จะพัฒนาธุรกิจทาง ช่องทาง ออนไลน์อย่างไร

ทีนี้ ระบบ The War Room ก็จะนำเรื่องนี้มาสอนเช่นกัน

The War Room สอนจากการทำงานจริง จากประสบการณ์ การทำเว็บจริงๆ ไม่ได้มา กีอปจากใน เน็ตครับ
เรามักเห็น หนังสือตามร้านหนังสือ ที่พวก No Name เขียน ซึ่งส่วนใหญ่ มีแต่พวกที่ ขายแนวคิด
การขายแนวคิดมันง่ายนิดเดียวครับ แค่ ก๊อปเนื้อหา มา Re-Write ใหม่ ลงในหน้าแผ่นกระดาษ A-4 และส่งสำนักพิมพิ์ แต่ความรู้เหล่านี้ ไม่ได้ แก้ไขปัญหา สำหรับธุรกิจของท่านได้ดีเลย หากไม่มีประสบการณ์ การทำการตลาดออนไลน์ และไม่ได้ อดหลับอดนอน เพื่อลองนู่น ลองนี่จริงจัง ท่านก็แทบไม่ได้อะไรเลย และเสียเวลาไปเรื่อยๆ อย่างเปล่าประโยชน์

แนะนำให้เข้ามาเรียนรู้ อย่างถ่องแท้ ที่ระบบ The War Room
Online Marketing ใช้เวลาปั้นนานมาก กว่าที่เราจะได้ แต่ละ Flow ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง .

จาก Class Room ในคราวที่แล้ว : Class #28 – เตรียมการสอบ โฆษณา Search เพื่อใบ Certificate อันนี้ ผมต้องยอมรับว่า เวลากระชั้นและยังทำได้ไม่สมบูรณ์นัก แต่จะตั้งใจทำเฉลยข้อสอบ พร้อมการคิดวิเคราะห์ เนื้อหาของข้อสอบไปด้วยครับ SME ที่มาเรียนกับผม จะได้ใน Google Certificate ด้วยครับ รับรองว่า เก่งกว่าพวกรับทำ AdWords จากพวก เอเย่นเป็นไหนๆ แล้วทำให้ผู้ประกอบการ สามารถเลือกใช้งาน Google AdWords Agency ที่มีคุณภาพได้ในอนาคต คุณจะรู้เท่าทันพวกเขามากขึ้นครับ หรือจะได้ด้วยตนเองก็ยังได้ สำหรับกิจการ ที่ดูแลแบบเล็กๆ มีความคล่องตัวสูง ก็ไม่จำเป็นต้องไปจ้างใครทำ Google AdWords เลยครับ ทำเอง ได้ง่าย และ ไวกว่า เพียงแต่ คุณต้องมาเรียน ในระบบ The War Room กันนะครับ

 

สำหรับ The War Room คลาส ที่จะถึงนี้ ผมจะ แจ้งให้ทราบว่า เราจะกลับมาที่ประเด็นการทำ Landing Page จาก Class บทเรียนแรกเลย อันนี้ จะมาลงลึก Detail เชิงลึกแล้วครับ และเน้น UX (User Experience) และการวาง Flow เป้นสำคัญ การทำ Landing Page อย่างไร จึงจะปิดการขาย

 

พร้อมทั้งวิเคราะห์ แผนการดำเนินงาน ต่อๆไป เพื่อให้ได้ Rate ของการทำยอดขายที่ดีขึ้น หรือเราเรียกว่า Conversion Optimization ซึ่งเป็นงานหลักๆที่ผมถนัดยิ่งนักครับ

(1) – เฉลย Dustin Wants to write a Great Text ad – ทำอย่างไรให้ได้ Clicks มากที่สุด

1 Dustin Wants to write a Great Text ad That will Get people’s attention when they are searching on Google. What Should he do to generate the Most Clicks ?

 

(A) Include his Keywords in the Ad Text
(B) Put the Ad Headline in All Capital Letters
(C) Put Special Characters in the ad Headline
(D) Include his Business Address in the ad Text

แนะนำเข้าไปอ่าน ที่ Google Help:
Create Effective Text Ads: Google Best Practices

check_mark_colors

นักการตลาดที่ประสบความสำเร็จ : จะต้องส่งข้อความ ที่ตรงกับความต้องการ ในช่วงเวลาที่ถูกต้อง และการใช้ ความคิดสร้างสรรค์ สร้าง โฆษณา ที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของลูกค้าได้มากกว่า เราจะได้ Clicks ที่มีคุณภาพมากกว่าคู่แข่ง

สรุปคร่าวๆ สำหรับข้อนี้ หลังจากที่อ่านในบทความมาแล้วนะครับ

  1. เขียนถึง ประโยชน์ ของผู้ใช้ ที่เขาจะได้ (Needs)
  2.  เขียนให้มี Keywords ที่เขาค้นหาเข้ามา (Search)
  3.  ให้ใช้คำเฉพาะ เจาะจง ที่ดีกว่า
  4.  ใช้คำที่เป็นคำตอบสำหรับการค้นหาของผู้ใช้งาน อย่าไปสร้างคำถาม

ตัวอย่าง โฆษณา Text Ad

เห็นไหมว่า เขาใส่ ประโยชน์ และน่าสนใจ ในเรื่องของ “Responsive Service” นอกนั้น เหมือนกันหมดเลย

 

Focus on your headlines – พยายามใส่ใจใน Headline บนสุด !

อันนี้ ตัวเพิ่มค่า CTR อย่างเห็นได้ชัดเลยครับ แล้วมันจะนำพาให้ ผู้ค้นหาใน Google ยิ่งสนใจ อ่านข้อความของ Google AdWords และ Click Ad ของเรา อย่างเน้นๆ แน่นอนครับ