Google มีความต้องการให้ คนเข้ามาค้นหาแล้วเจอ เนื้อหา ที่เหมาะสม ถูกต้อง และ Useful สำหรับผู้สืบค้นข้อมูล
คิดหลักการง่ายๆ นะครับ Google Search Engine
Core Business ของเขาคือ การให้คน เข้าถึงข้อมูลของการสืบค้น และ รู้สึก พึงพอใจกับผลการค้นหา และการสืบค้นข้อมูล
Bounce Rate คืออะไร ? > ให้ไปอ่านบทความนี้ครับ
Google ดูปัจจัยเป็นร้อยๆ อย่างในการพิจารณา คุณภาพ เนื้อหา ?
อันนี้จริงหรือไม่ ?
ผมพยายามศึกษาในหลายๆรูปแบบมาแล้ว ผมไม่ได้รู้หมดทุกอย่าง มันเป็นความลับของ Google เขาครับ แต่สิ่งที่ผมรู้มา คือ content ที่มี แหล่ง citation ที่ดี และการเขียนโดยมุ่งหวังว่าเกิดการใช้งานได้ในระยะยาวกว่า มีโอกาสที่จะติดอันดับที่ดีกว่าครับ
ปัจจัยหลักที่ผมเห็นคือ Keyword Trend
ไอ้เจ้า Keyword Trend เหล่านี้ Google รู้เองได้ครับ ช่วงเวลาอันหนึ่ง ที่คนค้นหา keyword เหล่านั้น มาจาก เว็บประมาณใด
เช่นข่าวการเมือง รายชื่อ คนดังทางธุรกิจ keyword พวกนี้ ออกมามากในเว็บข่าว
ฉนั้น เว็บที่มี อัตตรา ของ Text Dynamic สูงๆ และเว็บข่าวทั่วไป จะไปติดเนื้อหาของ Keyword พวกนั้นได้ดีกว่า
ส่วนคำว่า “ตู้เย็น” เป็นคำค้นหา โดย ผู้หา ต้องการซื้อสินค้า หรือ เป็น Physical Object
ดังนั้น Keyword พวกนี้ มักไปติดอันดับที่เว็บ E-commerce ครับ
ไม่มีเว็บใด อันดับได้ทุก keyword ได้อย่างถาวร
scope ของตนเอง ต้องชัดมากๆ และพัฒนาคุณภาพเนื้อหาระยะยาว
การทำ SEO ไม่ใช่ เอาแต่มานั่ง คิด ทำอันดับ หรือ Ranking อย่างเดียวครับ
ต้องคิดพัฒนาตั้งแต่ฐานคุณภาพ กลยุทธ์ระยะยาว ดูการพัฒนา จาก Outputs ทาง Google Analytics และ Google Web Search Console
ทำไมคนทำ SEO จึงกลัวเรื่อง Bounce Rate มากๆ ?
เนื่องจาก Bounce Rate เป็นผลสะท้อนสำคัญ ว่าคนเข้ามาใช้งานเว็บนั้นจริงๆ หรือไม่ ?
อดีตที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ Google หัวหน้าฝ่าย Web Spam Team ที่ชื่อ Matt Cutts ได้กล่าวมาแล้วว่า Google ไม่ได้ใช้ Bounce Rate มาตัดสินเรื่องการทำ Ranking ใน Google … Bounce Rate ไม่ได้ถูกนำมา คิดนวณ ใน Algorithm เลยแม้แต่น้อย
ตกลง Bounce Rate เป็นแค่นิทาน หรือตำนาน SEO อีกตัวไหมเนี่ย ?
ผมมองว่าไม่ใช่ครับ !!
การตัดสิน พิจารณา ส่วนใด เราจะมองประเด็นของ Empirical Result หรือการเห็นเชิงประจักษ์
การที่ Matt Cutts ออกมาพูดอีกอย่าง แต่ Result ที่เห็นเชิงประจักษ์ ออกมาอีกอย่าง
ศาสตร์ของการ Research แบบ ตาบอดคลำช้าง ก็คืองานหลักๆของพวกนักทำ SEO ก็ต้องเอา Empirical Result มาวิเคราะห์ต่ออีกทีครับ
ทำไม Bounce Rate จึงมีส่วนให้ SEO Ranking Signal นั้นดีขึ้น ?
Google แอบจับ Usability หรือไม่ ?
SERP ต้องการ Usage ที่มี Value จริงๆ ใช่ไหม ?
ลองพิจารณาดูครับ ถ้า 10 อันดับแรกของ Google Bounce Rate 90%
Google คงมือสั่นๆแล้วครับ
ไม่มี Session Duration นั่นหมายถึง คนเลิกใช้ Search Engine.
คนวิ่งไปหา Facebook หรือ Social Platform กันมากขึ้น
ฉนั้น Google ต้องการให้คนใช้งาน Search Engine และไม่อยากให้ Search Engine มีวันตาย
Google พยายามดัน Google+ แต่ก็บอดสนิทครับ เพราะ Emotion มันไม่ได้ พวกสาย Influencing วิ่งไป FB กันหมด
ฉนั้น Matric ที่เรียกว่า Bounce Rate เป็น หัวใจตัวนึง ที่คิดว่า Google Search Engine ไม่ทิ้งครับ
อยากอยู่ใน Google Ranking นานๆ ให้พัฒนา Bounce Rate ให้ลงต่ำๆ ซึ่งมีผลดีกับเว็บตนเอง
แม้ว่า Google Algorithm ไม่ได้นำไปคำนวณ
แต่ Bounce Rate มัน เป็น reflect ของ Content Quality ที่อาจจะส่งไปถึง Metric หลายๆ ตัวที่ซ่อน อยู่ ที่ google เองก็ไม่รู้ว่าแอบเก็บมาคำนวณอยู่ตลอดเวลา
ทำไมพวกเอเย่นที่ชอบทำ AdWords เน้นปิดการขาย โดยไม่ แคร์ Bounce 90% หล่ะ ??
เนื่องจาก โฆษณา AdWords เน้นปิดการขาย
แต่ไม่ได้หมายถึง เว็บทั้งเว็บ มันจะ Bounce ทั้งหมด
Google พอจะจับพฤติกรรมการใช้งาน แบบสุ่ม (Complexity Analysis) ผมเคย Research Paper อันหนึ่ง หลายปีมาแล้ว ค้นพบ Key ความลับ สำคัญ และมันทำให้ผมเห็น success ของ Business ที่เน้นความยั่งยืน
นั่นคือการทำ คุณค่าในเรื่องของ User Retention.
ใครที่สร้าง User Retention ได้ก่อน ก็กินตลาดไปเรื่อยๆ
การทำ User Retention สมัยนี้ คนวิ่งไป บิ๊ว emotion คนทางฝั่ง Social ในวงการ Digital เรียกว่า Social Signals.
คนทำ Content สาย Content Influencing ต่างทราบดีกว่า การกระพือกระแส ไปเรื่อยๆ ทำให้ตนเอง ยิ่งติดอันดับ และ สร้าง Brand Keyword ได้ด้วย อีกทั้ง สร้าง Keyword ใหม่ๆ ให้กลายเป็น Niche Keywords
ใครไม่เก่ง ปั้น Rank ก็ไปโหนกระแส และชี้นำกระแสเองอะไรเช่นนี้
สังเกต ใคร Look ดีๆ หน้าตาดีๆ ไป บิ๊ว หรือโหมกระพือกระแส Viral ได้ง่ายๆ
ความน่าเชื่อถือ มีอยู่ในตัว
ความหน้าเชื่อถือ ที่สื่อ ทางอารมณ์ แบบ First Impression
ผมเรียกว่า การสร้าง Image.
การสร้าง Image โตเร็ว กระพือเร็ว และ ดับร่วงเร็ว เช่นกัน
คนสร้าง Image ทราบดีกว่า กระแส ถูกจำกัดให้มีความ น่าเบื่อ ได้ง่ายกว่า อยู่ในตัว มากกว่าการ Share อัถถะ ประโยชน์ (Web Utility)
คนสร้าง Image หลายๆ คน รวมตัวกันเพื่อสร้าง Keyword ที่เป็นแนว Conceptual Ideas มากๆ มากระพือขายไปเรื่อยๆ
จนเกิด community ของนักเล่านิทาน ความสำเร็จ หรือสูตรสำเร็จต่างๆ
บิ๊วให้ พวกคุณติดตามไปเรื่อยๆ เมื่อสะสมไปได้สักระยะ ก็จะกลายเป็น Majority Trend หรือ Macro Trend.
ในเชิงของการพัฒนา ก็เป็นแนว Content Marketing สาย Influencing นั่นเอง
นั่นทำไม คนกลุ่มนี้ จึงเชื่อใน ศาสตร์ของ “Content Is King”
ในกลยุทธ์ เพื่อการสร้าง ความยั่งยืนทาง SEO เราไม่ได้ใช้ Content Is King มาเป็นศาสตร์ของความสำเร็จอีกต่อไปแล้วครับ
Content คือ Input อันหนึ่ง ที่ต้องใส่อย่างสม่ำเสมอ
ทาง SEO เราควรมองว่า Content is Just Input, “Content Is Not King”
แต่ Content ควรเขียนก็ต่อเมื่อเรามีประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา
King จริงๆ คือโครงสร้าง และการบริหารจัดการ Website ต่างหาก อันนี้ โจทย์ยากกว่า และ Scope งานใหญ่กว่ามาก
หากคุณมั่งหวัง เรื่องการสร้าง King ในธุรกิจออนไลน์ของคุณ ควรเข้ามาเรียนรู้ที่ระบบ The War Room
ยุคการกด Bounce ของยุคนี้ เป็นการทำ SEO บวกการทำ UX และ User Usability ไปในตัว
แต่ถ้าธุรกิจของคุณ ไม่ได้ มีหน้าตาที่สวยงาม แนะนำ หันมามองคุณค่าภายใน
สร้างความเชื่อใจจากลูกค้า ด้วยคุณภาพเนื้อแท้ ที่ไม่ต้อง ปั้น Image.
คุณค่านั้น สร้างยากกว่า และอาจไม่ได้ยั่งยืน มากไปกว่ากัน
แต่คุณสามารถทำสิ่งที่หลากหลาย ได้ไม่สิ้นสุด
และมันไม่น่าเบื่อ เพราะทำไปเรื่อยๆ
ผู้คน หรือ Netizen ต่างเบื่อกับ การเสพย์ Content ที่เกินพอดี
การเสพย์ คุณภาพ content สาย Influencing มันเริ่มจบแล้ว
คนเริ่มเบื่อ และเหนื่อยยาก กับการเดินตาม นักปั่นกระแสแล้ว
ยิ่งเจ้าของธุรกิจ SME ที่ เสียค่าบัตร หรืองาน Image เหล่านี้มากๆเข้า ก็เหมือน พายเรือวนอ่างไปเรื่อยๆ
Brand ใหญ่ๆ ก็รอด เพราะ Budget มั่งมีศรีสุข
ใครเป็น SME หาเช้ากินค่ำ ก็เลือดสาดไปเรื่อยๆครับ
การพัฒนา Site Content ต้องพัฒนาให้ Bounce Rate ลงมาต่ำๆ
ถามว่าต่ำที่ความเหมาะสม อยู่ที่เท่าไหร่ อันนี้ผมบอกไม่ได้
แต่เท่าที่ทำ SEO มานั้น เว็บที่มีคุณภาพ Traffic เติบโตได้ดี มักมี Bounce Rate ไม่เกิน 45%
ถ้า Bounce Rate สูงกว่านี้ ก็ระวังไว้
ส่วนที่ 70% นั้น เห็นว่าเว็บส่วนใหญ่ มักจะมี Bounce Rate ราวๆ นี้
นั่นคือ เว็บที่ไม่ได้มีการใช้งานมากมายครับ
มันส่งผลในเรื่องของ UX ด้วย
และ UX ก็ส่งผลไปสู่ ความน่าใช้งาน หรือใช้งานง่าย มันส่งกันเป็นทอดๆ ไปหาถึงกันหมด
การพัฒนา SEO คิดแต่ กด Bounce Rate ก็ไม่ได้ครับ
บางทีนั้น เราต้อง พัฒนาการทำ SEO โดยใช้ส่วนผสมของ UX เข้ามาตีโจทย์ และวางแผนแม่บทของการทำ SEO ด้วย
ไม่ใช่โจทย์ที่ง่าย !!!
ต่อมา เราก็ต้อง วางโครงสร้าง ที่มันจะ useful กับผู้ใช้งานให้มากที่สุด
แผนขั้นปลายก็คือ การทำ Site Authority ที่ยั่งยืน
แผนนี้ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
คู่แข่งหลายๆ คนกำลัง กว้านหา จัดจ้าง ดารา มารีวิวสินค้า ออกสู่โลกโซเชี่ยว ตีรันพันแทงกันเรื่อยไป
ของเรา ปั้นนิ่งๆ เงียบๆ ย่องกิน Area การตลาดไปเรื่อยๆ แบบไม่หยุด
ลองวัดกันใน 1,500 วันครับ ใครจะ สร้างเงินล้านได้ยั่งยืนกว่า
ถ้าคุณไม่ใช่ ตัวใหญ่ๆ แนะนำ มาทำ SEO
ถ้าคุณ ไม่ใช่ คนดูดีมีระดับ พอจะชูหน้า ออกตาสู่สังคมโลกให้เขาว๊าว
ลองพัฒนา SEO ก่อน
สร้างความเชื่อถือจาก เนื้อหา เชิง ข้อเท็จจริง (FACTs)
ให้ความจริงใจกับลูกค้า แล้วมันจะมาแบบ ปากต่อปาก
คนไทย ไม่ได้บ้า Ads เสียหมด
โดยเฉพาะ ลูกค้าชั้นดี ที่มี Margin Gap มากๆ
เขาจะอ่านจาก หลายๆ Source ก่อน แล้วจึงพิจารณา (Consideration)
ของที่ขายยากๆ ยิ่งต้องมาขายทางฝั่ง Search Engine
สังเกต ส่วนตัวนะครับ พวก บ้า โซเชี่ยว จะเป็นสาย Emotional มากๆ จะไม่ใช่การตัดสินแบบ Facts
ถ้าเราจะขายจอง คนรวยมากๆ หรือ ขายกระบวนการ ที่มีระบบซื้อขาย หลายคนตัดสินใจ
มันไม่ใช่ Emotion เท่าไหร่ มันต้องขายแบบ Facts
นอกจากว่า เรื่อง ร้านอาหารว๊าวๆ อันนี้ อยู่ในกลุ่ม 4 Fundamental of Motivation ขายที่ไหน ก็ชนะ ถ้ารูปสวย ….
เอาเป็นว่า พูดมาซะยืดยาว
ขอบอกว่า ให้กด Bounce Rate ต่ำๆ เข้าไว้ครับ
ไม่ใช่ความเชื่อแบบงมงาย แต่บอกจากปากและความคิดของคนที่ ตามอง Monitor ใน Google Analytics มาเป็น พันๆ เว็บแล้ว
เชื่ออย่างไรได้อย่างนั้นครับ
ผมเชื่อว่า การพัฒนาคุณภาพจากภายใน ยังไงก็ชนะ แต่รบกันนานยืดเยื้อ
ใครชอบ รบแบบ ยืดเยื้อ กลยุทธ์ซับซ้อน และ มีการรบแบบกองโจรผสมผสาน
แนะนำให้มาลองเล่น SEO กันดูครับ
แต่มีข้อแม้ว่า ทำ SEO สาย UX และ Test Usability ไปด้วยนะครับ
ใครปั่น Rank อย่างเดียว ขอแช่งให้ค้าขายไม่รุ่งครับ
แช่งไปก็เท่านั้นแหละ แต่มันมี ตัวเลขทางวิทยาศาสตร์ต่างหาก ที่ยุคนี้ Search Engine ไม่ได้ success กันที่ Ranking แล้วครับ
อันนี้มันยุคของ User Experience จริงๆ
Design คือความสวยงาม
แต่การจัดวางที่สมเหตุสมผล นั่นแหละ UX ครับ ใช้ตัวเลข ไม่ได้ใจินตนาการอย่างเดียว
บางที UX ไม่ต้องมี Creative มากมายอะไร
แค่ มีเหตุผล และเข้าใจ ระดับของอารมณ์ และ Stage การใช้งาน
เท่านั้น ไม่หวือหวา
มีพวก Agent ที่ชอบ แอบอ้าง ว่าทำงานให้ Brand ดังๆ
ให้คุณระวังครับ ศึกษาประวัติพวกเขาดีๆก่อน คุยให้ละเอียด
ก่อนเงิน 2 ล้าน 5 แสนบาท จะหลุดมือ เพราะความว๊าว ในมโนจิต ที่เกิดในฉับพลัน เข้าไปใน สมองความคิดของคุณ
Brand Builder ไม่ใช่ การตอบโจทย์ธุรกิจ อย่างเดียวครับ
ศึกษาทางด้านเทคนิค ควบคู่ไปด้วย ชีวิตจะง่ายขึ้นครับ
บางคนใช้เงิน 2.5 ล้าน เพื่อขายของหลักพันบาท
บางคนใช้เงิน 2 หมื่นบาท ขายของหลักสิบล้านบาท
โลกเราบ้าบอ และแปลกดีครับ — เราอยู่กันด้วยความเชื่อล้วนๆ
ตัวเลข อ่านไม่ออก อ่านไม่เป็น คนไทยชอบฟังนิทานก่อนนอนครับ
Leave a Reply