>

เป้าหมาย ภารกิจของ Search Engine

เป้าหมายของ เสิร์ชเอนจิ้น

หัวข้อนี้ เขาเริ่มประมาณว่า Internet มันฟรี และ คนต้องการค้นหาข้อมูลอยู่ตลอด แต่ Google ครองตลาดการค้นหาอยู่มากกว่า 90%

% ส่วนแบ่ง การใช้งาน Google ในตลาด เสิร์ชเอนจิ้น

Search Engine พยายามทำให้คนพอใจกับประสบการณ์ของผลการค้นหา โดย search engine จะแสดงผลที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราค้นหาอยู่บนผลลัพธ์ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

บริษัท Search Engine ทั้งหลายลงทุนไปมากมายเพื่อพัฒนา ความเร็วของผลลัพธ์ และ ความเกี่ยวข้องอย่างใกล้เคียงที่สุด มีการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานอยู่เสมอ และมี เทคนิค Machine Learning เพื่อ Algorithms ส่วน Google Search ได้เงินจากการผลิตโฆษณา (PPC) โดยผู้จ่ายโฆษณาจะจ่ายเมื่อเกิดการ click จากผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงที่สุดในการค้นหา หากทำการหลอกลวง Google มันจะตรวจพบว่าเรามีพฤติกรรมเป็น Spam จะทำให้เราได้รับสิ่งที่แย่ลงไปอีก

เสิร์ชเอนจิ้น ได้จ้างทีมงานเพื่อมาปราบ Spam อย่างจริงจัง สำหรับนักทำ SEO ต้องระวังให้มาก บางอย่างที่จงใจเกินไป หรือ การกระทำบางอย่างอาจทำให้เข้าข่าย Spam ได้

ส่วนเรื่องสุดท้ายของหัวข้อนี้ เขาได้กล่าวถึงการครองตลาดของ Google ทั่วโลก แต่ไม่ใช่ใน จีน กับ รัสเซีย ซึ่งเป็นของ Baidu กับ Yandex ตามลำดับ

Goals of Searching: The User’s Perspective

เป้าหมายของการค้นหา – มุมมองจากผู้ใช้

หัวข้อนี้กล่าวถึง query หรือ คำค้นใน search box โดยผู้ใช้งานใช้การผสมคำค้นต่างๆ แล้วให้ เสิร์ชเอนจิ้นทำงาน ส่วนการค้นหานั้นมี “intent” (ซึ่งผมเองก็ให้ความสำคัญกับคำๆนี้มากเลยครับ) เพราะมันเป็นปัจจัยการออกแบบกลยุทธ์ทาง SEO และมีการกล่าวถึงจิตวิทยาการค้นหาของผู้ใช้งาน เพื่อเชื่อมโยงระหว่าง บริการ หรือ สินค้า ที่เราจะแสดงในเว็บ อีกคำนึงที่อยากให้ผู้อ่านศึกษาคือคำว่า “Query-based Search Engine” เสิร์ชเอนจิ้นพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายปี แต่หลักๆของการทำงานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ตามหลักการดังต่อไปนี้

1) ประสบการณ์ของผู้ใช้งานต้องการ ข้อมูล ผู้ใช้งานอาจอยากค้นหาเว็บไซต์นั้นๆ (Navigational query) หรือเขาอยากจะเรียนรู้บางอย่าง (Information Query) หรือเขาอาจอยากจะซื้อบางอย่าง (Transactional query) เนื้อหาเหล่านี้จะกล่าวในบทถัดไป

2) ผู้ใช้งานให้การผสมคำ เป็นวลี (Search Term) ข้อมูลทางสถิติพบว่า 58.8% ใช้ความยาว 1-3 คำ ส่วนผู้ใช้งานที่เชี่ยวชาญเรื่องเว็บไซต์ อาจจะใช้คำค้นที่ยาวกว่านั้น

ความยาวของคำ ในการค้นหา search engine
https://www.researchgate.net/figure/Query-length-distribution_fig1_220320971

3) ผู้ใช้งานเริ่มใช้คำค้นเบื้องต้น แล้วได้ผลลัพธ์ แล้ว ผู้ใช้งาน ก็ปรับปรุงคำค้นอีกครั้ง

Determining User Intent: A Challenge for Saerch Maketers and Search Engine

เนื้อหาในหัวข้อนี้คือให้เราพยายามเข้าใจผู้ที่ทำการค้นหาข้อมูล เรียนรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ โดยใช้คำว่า “Empathy” และให้เราเข้าใจไว้ว่า Search Engine คือ เครื่องมือ เพื่อเป็นแหล่งป้อนไปสู่เนื้อหาต่างๆ การใส่คำค้นบน search box นั้นแตกต่างจากการใส่ url ใน Browser หรือการคลิกบน bookmark เพราะว่าคนที่ค้นหาเขาจะมี “intent” ว่าผู้ใช้งานอยากได้ข้อมูลอะไร เนื้อหาด้านล่างจะพูดถึง ประเภทต่างๆของการค้นหา คุณลักษณะ และ กระบวนการ

Navigational Queries

จะเป็น intent ที่ค้นหา เว็บไซต์นั้นๆ ให้เจอ มันเหมือนวิธีการค้นหาในสมุดหน้าเหลือง ดูตัวอย่างตามภาพ

navigational query
https://www.wordstream.com/blog/ws/2012/12/10/three-types-of-search-queries

สถิติ 70% Click บนอันดับแรกใน Branded queries

Company Brand มีคุณค่ามาก แต่อาจจะไม่ได้ new customers โดยหัวข้อนี้จะเหมาะกับคำค้นที่เป็นแบรนด์

Information Queries

หัวข้อนี้เขากล่าวถึงคำค้นแบบกว้างๆ เช่น พยากรณ์อากาศ, เส้นทางขับรถ, อาการของโรค, ข้อมูลสำหรับทำด้วยตนเอง Informational search มันคือ nontransactional-oriented การค้นหาเหล่านี้อาจรวมไปถึง สินค้า และ บริการ

Informational queries มักจะมี conversion ต่ำ แต่เหมาะกับการปั้น brand และการสร้าง link โอกาสคือ ทำให้คนรู้จักเรามากยิ่งขึ้น ทำให้นักเขียนนำเว็บเราไปโปรโมตต่อ ทำให้เกิดการสมัครสมาชิกในอนาคต ส่วนในเรื่องของ traffic ในหนังสืออธิบายว่าผู้ใช้งานอาจไม่พร้อมที่จะซื้อ คือให้เราทำ keyword ที่ลึกกว่าเข้ามาด้วย เพราะ user จะค้นหาและปรับคำค้นให้ลึกขึ้น แล้วอาจจะมาเจอเราอีก

Transactional queries

 

 

Transactional Queries

คำว่า Transactional Queries ไม่ได้หมายถึง การใช้ บัตรเครดิต หรือ ธุรกรรมทางการเงินแต่อย่างใด แต่อาจหมายถึง สมัครบัญชีใน Pinterest หรือ การสมัครใช้บริการฟรี ของ domain tool หรือการค้นหา ร้านอาหารอร่อยแนวญี่ปุ่น คำค้นเหล่านี้เกิด conversion สูง คุณค่าทาง traffic สูงมาก ผลของ transaction อาจไม่ได้เกิดในทันทีทันใด แต่มันสร้าง user rentention ให้คนกลับมาใช้ซ้ำๆได้สูง

Transactional queries
https://mirasvit.com/blog/three-types-of-search-queries-navigational-informational-transactional.html

Local Queries

อันนี้เป็นการค้นหาที่มีทำเลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น จะซื้อพิซซ่าได้ที่ไหน, ที่จอดรถใหล้ที่สุด, การถามทาง สถานที่ซื้อสิ่งของต่างๆ หรือ การไปดูหนังในโรงหนัง โดย Local Queries เป็น subclass ของ queries อื่นๆทั้งสามตัวที่กล่าวมา และเกี่ยวข้องกับ transactional มากที่สุด โอกาสที่จะทำให้คนเดินเข้ามาหาเรามีสูง และเป็น keyword intent ที่สำคัญมีมูลค่าสูงอีกด้วย

วันนี้ขอ สรุปรีวิวถึงแค่นี้ก่อน หากท่านต้องการติดตามตอนต่อไป โปรด Add FB ของผมนะครับ >> Palawast Jeamsaard ผมจะส่งให้ทาง Message ครับ [Update 2023/12/13 : 6:39PM]

 

 

(1) อ่านบทก่อนหน้านี้ SEO Myths Versus Reality

(2) กลับไปหน้าหลักของ รีวิวหนังสือ The Art of SEO 4th Edition

รีวิวสรุป SEO Book – The Art of SEO 4th Edition [Chapter1]

[การค้นหา] การสะท้อนกลับถึงจิตสำนึกตนเอง และ การเชื่อมต่อทางการค้า

reflective consciousness

 

[ประกาศ] เนื้อหาทั้งหมดนี้ เป็นแค่สรุปเท่านั้น ไม่ได้นำเนื้อหาในหนังสือมาแปลแต่อย่างใด หากท่านสนใจรายละเอียด โปรดซื้อหนังสือ The Art of SEO 4th Edition

 

บทที่ 1 คิดว่าเป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับ สถานะของ SEO ว่ามันมีอยู่เพื่ออะไร และอธิบายเกี่ยวกับ พฤติกรรมการค้นหาของ users

ผมอ่าน table of content แล้วก็พบว่าน่าสนใจมากครับ สามารถมาต่อยอดการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ของเรา ให้ตอบสนองกับการค้นหาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งผมยอมรับเลยว่าอาจทำ เนื้อหาไม่เก่งเท่ากับนักการตลาดสาย content marketing ชั้นนำในไทย แต่ผมก็พิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่า ผมสามารถทำเว็บไซต์ให้ตอบสนองกับ SEOได้ดีกว่าคู่แข่งในหลายๆสำนักครับ

 

เนื้อหา บทที่ 1 จะมีดังต่อไปนี้

Is this Book for you ?

SEO Myths Versus Reality

The mission of Search Engines

Goals of Searching: The User’s Perspective

Determining User Intent: A Challenge for Search Marketers & Search Engine

  • Navigational Queries
  • Informational Queries
  • Transactional Queries
  • Local Queries
  • Searcher Intent

How User Search

How Search Engine Drive ECommerce

Types of Search Traffic

  • Search Traffic by Device Type
  • More on the Makeup of SERPs

The Role of AI and Machine Learning

Using Generative AI for Content Generation

SEO as a Career

Conclusion

 

ในบทนี้กล่าวถึงการทำงานในสายงาน SEO ว่าทำอะไรบ้าง โดยมีเป้าหมายให้ทั้ง Search Engine และ ผู้ใช้งานจริง ควบคู่กันไป และ ได้เน้นย้ำว่า ranking อาจไม่ใช่เป้าหมายที่สุด โดยแท้จริงแล้วทำเพื่อ เปลี่ยนให้ผู้ใช้งานกลายเป็นลูกค้าเรา ทางสถิติมี 7.5 พันล้านคนใช้งานการค้นหาใน Google ในแต่ละวัน หรือ 85,000 การค้นหาในแต่ละ วินาที ซึ่งมากกว่า 50% ของ traffic บนเว็บมาจากช่องทาง Organic ทำให้ SEO มีความสำคัญต่อธุรกิจหลายชนิด

พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป เพราะมีการค้นหา และเกิดการ interact กันคน ทำให้ทุกคนต้องการ เพิ่ม traffic ให้กับเว็บที่ตนเองเป็นเจ้าของ จึงกลายเป็นพื้นที่ทางอสังหาฯได้เลยแต่มันก็ไม่ง่าย ในหนังสือเล่มนี้จะอธิบาย ตัวอย่าง และ ขุดลึกตามไปถึงความเปลี่ยนแปลงของการทำ SEO

Is this Book for you ? – หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณไหม ?

เขาพยายามเคลมว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคนทุกคน และทำการพัฒนาทักษะทางด้าน SEO และหนังสือเล่มนี้ยังครอบคลุมไปถึงคนที่ทำงานที่อาจต้องมีความรู้ทาง SEO ด้วย เช่น Product Manager, Marketer, Graphic Designer และ web developer. โดยหนังสือทั่วไปอาจจะเน้นเรื่อง teachnical SEO เสียมาก โดยส่วนใหญ่ พวก CMS Platform หรือ Ecommerce Platform ที่เราใช้งานอยู่อาจไม่ได้พัฒนามาให้เหมาะสมกับการปรับปรุงเว็บทางด้าน SEO มากนัก เช่นใน JavaScript หรือ Static site Generator ซึ่งมันจะเสียเวลามากหากคุณมัวแต่ศึกษาทางด้าน Technical SEO เหล่านั้น

ในเนื้อหาส่วนนี้เขาได้อธิบายเกี่ยวกับ สิ่งที่ต้องทำและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเว็บ เช่น Technical SEO ควรให้ความสำคัญอย่างไร และ Link ที่เราได้จำเป็นมากแค่ไหน

สิ่งที่เขาเน้นย้ำให้เราคิด ก็คือ ความ Creative ที่จะใส่ลงไปในเว็บไซต์ และการค้นหา Personas สำหรับอุตสาหกรรมนั้นๆ โดยเนื้อหาหลักๆ ให้ไปดูบทที่ 4 [Chapter 4]

SEO Myths Versus Reality

คือหัวข้อนี้เขาอธิบายเรื่องคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่อง SEO นั่นแหละ

อย่างเช่น

อภินิหาร – SEO ใช้เทคนิคลับๆ นิดหน่อย

ความเป็นจริง – SEO นั้น Complex และ ใช้เวลามาก การปรับ SEO ให้เว็บก็เหมือนปรับแต่ง Resume ประมาณนั้น (ในหนังสือมีอธิบายเยอะกว่านั้นนะครับ)

อภินิหาร – SEO นั้น Spammy

ความเป็นจริง – จริงๆ ก็มีเทคนิค SEO ที่ไร้จรรยบรรณอยู่ โดยละเมิดกฏของ Google และมาตรฐานการพัฒนาเว็บ ในหนังสือเล่มนี้ไม่มีการสอนวิธี “Black Hat”

อภินิหาร – SEO ถ้าไม่ Spam จะเปลือง เงิน และ เวลา

ความเป็นจริง – การทำแบบ Black Hat อาจทำให้ได้ rank ที่รวดเร็ว แต่อยู่ในช่วงสั้นๆ และถูก Banned จาก Index ใน Google โดยเฉพาะ keyword ที่มีการค้นหาสูงๆ จะต้องใช้เวลา และ เงิน ในการอยู่บน top10 มันไม่มีแบบ สารสเตียรอยด์ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแบบนั้น

*** อันนี้ เหมือนหนังสือบอกเป็นนัยๆว่า ทำ SEO ต้องใช้เงิน ซึ่งตรงนี้ Search Monopoly เห็นด้วยอย่างยิ่ง !! *** 

อภินิหาร – คุณต้องการ Web Dev หรือ ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน IT ในการทำ SEO

ความเป็นจริง – หากคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทาง Tech แล้วหล่ะก็ ในตลาดมีเครื่องมือในการทำ SEO ซึ่งอ่านเพิ่มในบทที่ 4 (Chapter 4) เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยในเรื่องการทำ Technical SEO ได้เป็นอย่างมาก โดยการแก้ไขหรือปรับปรุงเว็บสามารถให้คนที่ดูแลเว็บไซต์หรือโปรแกรมเม่อร์ช่วย Support เราได้ หากคุณมีความรู้ทางด้าน HTML บ้างนอดหน่อยจะช่วยได้มากเลย และคุณไม่จำเป็นต้องเก่งด้าน Coding แม้แต่น้อย

อภินิหาร – SEO เหมาะสำหรับ เว็บ eCommerce และ เว็บองค์กรขนาดใหญ่

ความเป็นจริง – หากเราต้องการที่จะทำให้เว็บค้นหาเจอใน Google โดยที่ไม่ต้องขายของแบบ Direct sales เราสามารถพัฒนาเนื้อหาในการสร้าง Blog เพื่อสร้างรายได้ จากการวาง Ads หรือวาง Affiliate link หรือจากการสัมครเป็นสามาชิกเว็บเรา ทุกๆกิจกรรมเหล่านี้เราสามารถใช้ประโยชน์จากการทำ SEO ได้

อภินิหาร – การปรับเว็บต้องใช้เงินในการออกแบบเว็บใหม่ หรือเปลี่ยนค่าย CMS หรือจ่ายเพื่ออับเกรดเว็บโฮสติ้ง

ความเป็นจริง – ในบางเคส เราอาจต้องเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ หรือโฮสติ้ง เพื่อแก้ไขปัญหาทางเทคนิคของ SEO โดยมันมีหลายทางเลือก ในเมื่อเราสามารถสร้าง Traffic ได้เพิ่มขึ้น มันอาจจะคุ้มค่าในการลงทุนตรงส่วนนี้ โดยในกฏของการทำ SEO ไม่ได้บอกว่าคุณจำเป็นต้องใช้แต่ WordPress เสมอไป

อภินิหาร – SEO จำเป็นต้องใช้ Social Media ที่มีความเคลื่อนไหวสูง หรือใช้ช่องทางของ Influencer ร่วมด้วย

ความเป็นจริง – เราไม่จำเป็นต้องใช้ หรือทำอะไรที่เกี่ยวกับ Social Media เลย ถ้าหากมันไม่สมเหตุสมผลสำหรับองค์กรคุณ มันอาจจะช่วยในการสร้าง Link ได้บ้าง (Chapter 10) แต่หากว่าเว็บเรามีเนื้อหาที่ดี และเป็นมิตรต่อเสิร์ชเอนจิ้น เราสามารถสร้าง Link ที่มีคุณภาพได้อย่างฟรีๆโดยไม่ต้องติดต่อใคร แต่มันอาจจะใช้เวลานานหน่อย

อภินิหาร – การซื้อ Google Ads หรือการติด Google Ads ในเว็บของเรา จะใช้ต้นทุนที่ถูกกว่า SEO

ความเป็นจริง – Paid Search อาจทำให้คนเข้าเว็บเรามากยิ่งขึ้นมากกว่าจะไม่ทำอะไร แต่การทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จ จะสร้าง traffic ได้มากกว่าการซื้อโฆษณา และสร้าง ROI ที่ดีกว่า การซื้อโฆษณาบน Google ก็ไม่ได้ทำให้อันดับทาง Organic นั้นสูงขึ้นแต่อย่างใด แต่การซื้อ ads อาจทำให้ traffic เพิ่มขึ้น และอาจมีคนเอาเนื้อหาที่ดีของเราไปทำ Backlink ให้ต่อ ถือว่าเป็นการเพิ่ม rank ในแบบอ้อมๆ โดยจะอยู่ในบทที่ 10 (Chapter 10) ด้วยความคาดหวังที่ว่า มีคนคลิกที่ ads เราแล้วนำ link เราไปแชร์ต่อ แต่มันไม่ใช้วิธีการที่เราสามารถคาดคะเนได้

หากใครที่ซื้อ ads แล้วได้ link หรือ ranking เพิ่มขึ้น ก็ขอแนะนำให้ทำต่อไป แต่แนะนำให้เพิ่ม organic traffic ควบคู่ไปด้วยจะดียิ่งกว่า เน้นย้ำอีกครั้งว่า SEO ทำ ROI ได้ดีกว่า การทำ SEO นั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายแพง แต่บางเคสเช่นต้องไปแข่งกับองค์กรใหญ่ๆ ก็ต้องมีทุนหนาพอสมควร สำหรับ keyword ใหญ่ๆที่มีมูลค่าสูง

NOTE เพิ่มเติม

การทำโฆษณาบน Google จะช่วยในเรื่องการทำ keyword research ได้อีกด้วย หรือเรานำไปใช้ทำ A/B Testing เพื่อผลประโยชน์ในการเลือก Landing page ให้กับการทำ SEO และในวงการ SEO พวกเทพๆ เขาก็นิยมใช้ ข้อมูลที่มาจาก Google Ads อาทิ conversion, Engagement เพื่อพัฒนากลยุทธ์ SEO

 

(1) อ่านบทต่อไป The mission of Search Engines

(2) กลับไปหน้าหลักของ รีวิวหนังสือ The Art of SEO 4th Edition

 

แก้ไข สถานการณ์ Impression ตกลง ฉบับ นักบริหาร

หาก Impression ตกลง เราจะทำอย่างไร ?

search impression 2018

สำหรับ ท่านที่รับทำ SEO ทุกแขนง เมื่อถึงเวลา Impression เส้นนี้ drop ลง เหมือน ถ่านหมด.. บรรยากาศ เริ่ม “มาคุฯ” ระหว่าง Client กับผู้ให้บริการ
สิ่งที่ SEO จะทำต่อไป (วิชามาร) คือ ให้รีบหา ข้ออ้าง , Trend Dropped บ้าง หรือ Google Algorithm เปลี่ยนแปลงบ้าง เพื่อซื้อเวลาให้ลูกค้า อยู่กับเราไปอีก…
เทคนิค ห่วยๆ แบบนี้ พวก มือสมัครเล่น ใช้กัน – การซื้อเวลา ที่เหลือ เพื่อเอาไปซื้อ Backlink มาเติมนั่นเอง

… จะทำ ทำไม ?

Impression ตก ไม่ต้องหลอกลูกค้า บอกกันตรงๆ ว่ามัน ตก!

เอาแบบนี้ ธุรกิจ ของใคร ใครก็รัก ใครก็หวง ฉนั้น เมื่อ Impression ตกลงมา ก่อนอื่น ให้ เข้าสู่กระบวนการ War Room Part แรกก่อนเลย

1. SEO Service แอ่นอกรับ ว่า ดูแลอันดับไม่ดี
2. Check ไปเลย มี Link หายไปเท่าไหร่ ?
3. พัฒนา Backlink ด้วยวิธีการ คุณภาพ และประหยัดสุดๆ เพื่อให้ได้มาของความอุ่นใจ และ สบายใจ ในอีก 45 วัน
4. เข้าสู่ กระวนการ Business Developments.

การแก้ไข Impression แกว่งลง (สายยั่งยืน)

ปี 2018 แนะนำว่า อย่าทำ SEO แบบ Control Ranking, เพราะ ทำแล้ว ได้ Traffic ก็จริง แต่จะพายเรือวนทวนในอ่าง
หาก คุณทำ SEO ให้กับ ลูกค้ามานาน 3 ปีขึ้นไป แล้วเขายังอยู่กับคุณ นั่นหมายความว่า สิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่ Ranking แล้วครับ มันผ่าน Stage การวัดใจไปแล้ว

เมื่อแปลง ลูกค้า ขาจรฯ ให้กลายเป็นลูกค้าประจำเราได้ หน้าที่ ความรับผิดชอบ เราควรจะเข้ามาสนใจรายละเอียด เรื่อง ความมั่นคงภายใน ให้มากขึ้น (เทคนิค ไม่ขอบอกนะครับ เพราะ วิชาชีพนี้ เป็นสูตรลับเฉพาะ ของ Search Monopoly ครับ)

สิ่งที่เราจะทำ เมื่อเห็นกราฟ Impression ตกลง แบบนี้ เราจะมองก่อนเลยว่า

ลูกค้า ต้องการ พัฒนาอะไร สิ่งไหน ?

และ ติดต่อลูกค้าของเรา โดยเตรียมความพร้อมไปทำการ รีวิว Business ของเรา ต่อไป

ถอยหลังกลับไปยาวๆ เพื่อทำความเข้าใจ และ อำนาจการต่อรองและการแข่งขัน

และผมจะค้นหาการแข่งขันที่ดีและหนักแน่นกว่าเดิม หรือ การกระโดดออกไปจากกล่อง พื้นที่สีแดง ของการแข่งขัน ที่ไม่มีประสิทธิภาพ

 

สิ่งที่เรา “Search Monopoly” ได้ research และทดลอง มาหลายปี กลับยิ่งพบว่า SEO มาในทาง DATA Schema เพิ่มมากขึ้น ใครยังบ้า Text อยู่ ก็ช่วยไม่ได้ครับ เพราะ มันเสียเวลาทำ อย่าง Text ที่คุณอ่านในเว็บเรา ยังไม่มี value เท่ากับการกลับมาสร้าง prototype จริงจัง และพัฒนา user behavior ที่เหมาะสมกับชุด query ที่เขา ค้นหาใน search engine.

พยายามศึกษา ความต้องการของ Google ด้วย ว่าเขา ต้องการ Data และ ต้องการ Result ที่ตอบโจทย์กับ user ของเขา ถ้าเรา พัฒนาผลงานแบบ win-win ทั้งสองฝ่ายก็รวย

ส่วน SME อย่าหัวหมอ ทำแต่ Ranking ไปอยู่ Top 1 แล้ว เอาแต่ ดัก “Lead” หรือ รอ In-Bound เข้าไป เพราะ ปี 2018 Google เริ่มรู้วิธีดัดหลัง ทั้งคนทำ SEO และ นักธุรกิจ ที่อืดอาดยืดยาด ไม่ได้เอาใจใส่มาโลกออนไลน์ และ เอาแค่ หวังผลประโยชน์ จาก Technology Online.

ปี 2018 นี้ SEO เอง ก็จะยกระดับ รับใช้ ธุรกิจ ที่เข้าใจ โลกของการ Search และ พยายาม เอา Policy ของ Google เข้ามาอยู่ในสูตรสมการ Monopoly ในแบบฉบับของเรา เท่านั้นเอง

ในปี 2018 – MOZ เอามุกเดิม มาปัดฝุ่นเล่นใหม่

ใน Moz มี แนะนำ กลุ่ม Keywords 3 กลุ่ม
High Volume Keywords
Mid Volume Keywords
Low Volume Keywords

มันก็คือ มุกเดิมๆ head, body, tail.
ทีนี้ เราจะสนใจ Keyword กลุ่มใดเป็นหลัก ?

สำหรับ Search Monopoly มองว่า การพัฒนา SEO ให้เกิด content เชิงกลยุทธ์ เราจะกลับไปมองเรื่อง Marget Segment
และการ หา specific selling point. ซึ่ง บอกกันตรงๆ E-Commerce ใหญ่ๆ ก็แอบทำครับ เพราะผมเคยทำที่นั่นมาก่อน

เมื่อทาง MOZ. กล่าวแบบนี้ ให้เราทำอย่างไร? 

บอกได้เลย ไปพัฒนา Selling point และ สร้าง content สาย ธุรกิจ และ อธิบาย Process ของเราให้ ละเอียดมากขึ้น

ส่วน โครงสร้าง URL เป็นความลับ เทคนิคเฉพาะ ของ Search Monopoly และเราพัฒนารูปแบบใหม่ ที่ปรับได้ดีกว่าเดิม

ของ version 2014 ที่เราเคยขายระบบ Prefix- แบบ Goodguide.com อันนั้น ยังพอใช้ได้ แต่เราเอง ยังมีของที่ เหนือกว่า และ ไม่อยากปล่อยให้ใคร นอกจากลูกค้าของเราเท่านั้น

ส่วนเรื่อง Backlink สำหรับปี 2018 MOZ เห็นต่างกับ Search Monopoly.

MOZ: มองว่า Backlink ไม่สำคัญ และถูกลดความสำคัญลงมาก แต่มันยังไม่ตาย – MOZ. กล่าวแบบนี้ เพราะ Moz ต้องแบกรับ การ Acquired Backlink และ เข้าสู่การ maintain traffic แล้วต่างหาก เขาจึงต้องลดบทบาทของ Backlink ลงไป.

Search Monopoly: ประเทศไทย และ Asia, บอกได้เลยว่า Backlink สำคัญที่สุด เพียงแต่ “คุณ” สร้าง หรือ หามันเป็นหรือเปล่า ??

 

สรุป.

  • Impression ตก.
  • ให้เรา ดู Biz. Dev.
  • พัฒนา Biz Dev.
  • สร้าง Selling point.
  • แล้ว ทำ Link Pyramid. ที่ฉลาดๆ แบบ LZD.

 

 

Anxiety คือ จุดอ่อนของ SEO

เราค้นพบ ข้อจำกัดของการทำ SEO ในประเทศไทย

Wisdom ที่ค้นพบใหม่ คือเรื่องของ Stability. กลุ่มของความเสถียร ในการพัฒนาระบบ
เอาแบบนี้ครับ ทางผม ทำงานในสาย IS. มานาน และ เข้าใจดีกว่า System ต้องมี User. และ user ส่วนใหญ่คือ มนุษย์

ที่นี้ครับ – อ่านบทความนี้ดีๆ อยากให้อ่านทุกบรรทัดอย่างระมัดระวัง.
ผมพยายาม เขียน งานเขียนให้ กระชับ และ สั้นที่สุด. โดย ไม่สนใจว่ามันจะ ติด SEO หรือไม่ บทความนี้ เน้นเนื้อ ให้ ผู้อ่าน ทำความเข้าใจครับ
บทความนี้ จะแสดง Diagram เข้าไปด้วย เพื่อ ผู้อ่าน จะได้เข้าใจ สิ่งที่ผมสื่อมากยิ่งขึ้นครับ

Internet Anxiety กับความไม่คุ้นเคยของ Client

ตอนเรียนที่มหาลัย เราไม่นึกไม่ฝันว่า คำสอนที่เขาบอกว่า “Human Error” นั้นจะมีอยู่ใน ระบบของการทำ SEO ด้วย
เดาออกไหมครับ ว่าหมายถึงอะไร ?
นั่นคือ ความหวาดระแวง, ความไม่มั่นใจ, ความไม่ชัดเจน, ความไม่ถ่องแท้ในคุณค่า ทำให้เกิด Anxiety และ ความไม่ลงรอยต่างๆ (Conflicts) ซึ่งนำไปสู่ การพัฒนาระบบในองค์กรณ์

ในปี 2018 เราค้นพบ ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า – Value ทางฝั่ง SEO นั้น แทบไม่มีบทบาทในสายงาน การตลาดออนไลน์ อย่างเป็นรูปธรรม ในความเป็นจริง การทำ SEO ต้องใช้เวลา และ ทรัพยากรณ์มากมาย มากกว่าจะให้ ใครคนใดคนหนึ่งมาแบกรับ

การทำ SEO ที่ดี ควรเป็นการสร้าง Business Community.

ผมเคยกล่าวกับ มนุษย์ทุกคน ที่ผมรู้จัก เพราะตั้งแต่ปี 2009. ผมได้อ่านบทความ ของนักกลยุทธ์ ชาวสิงคโปร์ เรื่อง 3 Spheres ของ web success.

และผมมองออกชัดเลยว่า ชัยชนะ ทางการตลาดออนไลน์ คือ การสร้าง Business Community. ไม่ใช่ ทำเว็บให้เสร็จๆ แล้วยิง Ads.

ทำไม เหล่า Guru ไม่ยอมบอก พวกคุณหล่ะ ?

Point คือ ถ้า Guru บอกพวกคุณ สิ่งที่จะหายไปคือ วงการ Digital Agency ตัวเป้งๆ นั่นเอง

ทำไมหล่ะ ?? 

เพราะ Business Units ต่างๆ สามารถ จับมือกันเอง สร้างทิศทาง กำหนด นโยบาย ได้ด้วยตนเอง อย่างอิสระ มากยิ่งขึ้น

บอกกันตรงๆครับ แค่ฝรั่งขี้นก เข้าเมืองไทยมาเขียน Blog แล้วอยู่ห้องพัดลมวันละ 400 บาท เขาสามารถสร้าง Business Community ได้ภายในไม่กี่วัน

พวกนี้ Backpacker ทั้งนั้น จับมือกันทำได้ง่าย ทำไปทำมา อำนาจต่อรอง มันก็มี เพราะมันเป็นชุมชน

หน้าที่ของคนทำ SEO ควรเป็น การสร้างชุมชน Business ที่ยั่งยืนครับ

ใคร ไม่สามารถ รับนโยบายนี้ ต้องไปหา Solutions อื่นๆ ที่เข้ากับนโยบายของคุณ

ใครชอบ Way นี้ ให้มาใช้ บริการของผม

กลับมาที่เรื่อง Internet Anxiety

ผมทำงาน กับลูกค้า ที่ไม่ได้ เข้าใจกระบวนการทำงานทางฝั่ง IT ทำให้เรา เจอ แรงเสียดทาน และ สิ่งทิมแทงเข้ามาเยอะมากๆ

พวกเขาคือ SME. สิ่งที่เขา นั่งนับตัวเลข คือ “หนี้” , “กำไร” , “ขาดทุน” เท่านั้น

เขามอง Value ของ SEO คืออะไร ? -> ส่วนใหญ่ คาดหวังเป็นยอดขายโดยทันที อยากได้ โทรศัพท์เข้ามาเร็วๆ

พวกเขาไม่ได้มองอะไร ? –> พวกเขา ไม่ยอมมองความสำคัญ คือ “ความเสี่ยง ของพวกเขาเอง”

กับดัก คือเวลา

และ ผม จะไม่มานั่ง งัดกับความเชื่อคน เพราะ เวลา ของผมเอง ก็มีจำกัด

ในความเป็น Technician และ Specialist มองและเข้าใจก้อน Value อันนี้ > หาก ฝั่ง Clients ไม่สามารถ เข้าถึง หลักการ ตรงนี้ได้

เราเอง ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพราะ Clients เอง จะเป็นความเสี่ยง ให้กับทิศทาง และ อุปสรรคในการพัฒนาระบบให้เกิดขึ้นได้จริง

SME > ทิศทาง > ลดหนี้ > เพิ่มกำไร

SEO > ทิศทาง > เพิ่ม มูลค่า Links > เพิ่ม Rank. > เพิ่ม Search Impression และ เพิ่ม Quality Traffic.

 

ลอง ตั้งสมการนี้ดูครับ

( ลดหนี้ ) + ( เพิ่มกำไร ) = ( เพิ่ม Links ) * ( เพิ่ม Rank ) * ( เพิ่ม Search Impression ) * ( เพิ่ม Quality Traffic )

สมการ ฝั่ง ซ้าย = สมการ ฝั่งขวา หรือไม่ ?

ถ้าไม่ใช่ นั่นหมายถึง คุณทำ SEO ด้วยความหวัง ลมๆ แล้งๆ ว่า เราไว้ก็ดีกว่าไม่มี

ไอ้คำว่า “มีไว้ ก็ดีกว่า ไม่มี” มีเหมือน ใส่ “พระเครื่อง” แบบนั้น ผมแนะนำ ว่า ไม่เหมาะกับ Solution ของ Search Monopoly ครับ

สำคัญที่สุด มองว่า ระดับ Operation การทำ SEO ต้องสัมพันธ์ กับ กลยุทธ์ทางธุรกิจ

วิถีการทำงาน ที่ทำแล้ว มีความ แน่นอน ชัดเจน

ทำ SEO แล้ว รู้สึกไว้ใจกันได้ มีการเติบโตร่วมกัน เหมือนเป็น Business Partner กัน.

 

ถ้าทำแล้ว มีแรงเสียดทาน แล้วทำให้ระบบมันพัง

แนะนำว่า ลองเปลี่ยนเจ้าอื่น / ลองหา Solution ใหม่ๆ ดู

 

ทางฝั่ง SEO แต่ละ Service Provider แต่ละราย รูปแบบ Style การทำงาน ไม่เหมือนกัน

ให้เลือก สิ่งที่ใช่ แล้วมันจะโตไปทั้ง 2 ฝ่าย จะเกิด สิ่งที่เรียกว่า “ความยั่งยืน”

 

อย่าลืม สมการ ที่ผม ระบุเอาไว้ ด้านบน ให้ พิจารณา ด้วยความจริงใจ และมีสติ.

 

การตรวจจับ การลอกงานเขียนบทความ และ ผลกระทบทาง SEO

งานเขียนบทความ SEO ที่เราเห็นส่วนใหญ่ในบ้านเรา จะยังคงมี ปัจจัยความเสี่ยงในเรื่อง Duplicated Content แบบที่ ผู้ว่าจ้าง และ ผู้รับงานเอง ไม่ทราบเลยว่า พวกเขาเหล่านั้น กำลังทำผิดกฏ เรื่องของ Google Quality Content อยู่ และทำให้ ธุรกิจของคุณยิ่งเสี่ยง ต่อการถูกปรับอันดับตก แบบชนิดที่เรียกว่า “ร่วง ร่อง แร่ง” ไม่เหลือเค้าโครงของเว็บที่ทำอันดับที่ดีมาก่อนเลย

 

เทคนิค การตรวจสอบ หาการลอกงานเขียน เช่น

Sub-string Matching – เทคนิคการเช็ค อักษรตัวหน้า
Keyword Similarity –
Text Parsing –

การปรับทำโทษของ Google ในเรื่องของ Duplicate Content จะ Match ได้ง่ายกว่า
ส่วนการลอกเลียน และสลับบรรทัด จะใช้เวลานานกว่า สำหรับการทำงานของ Search Algorithm
งานเขียนคุณภาพ ที่เป็นของเทียม เลียนแบบ หรืองาน Re-Write บทความ ทำให้

งานแปลเอกสารมาจากภาษาอังกฤษ หากไม่ได้ถูกคัดกรองและเรียบเรียงใหม่ ก็ยังคงมีปัจจัยความเสี่ยง ในการลดทอนทำอันดับ ใน Google ได้เช่นกัน

Text ที่อยู่ติดบน Search Engine แบบติดทนนาน คืองานเขียนที่กลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์ หรือมีความเป็น Specialise สูง ซึ่งทำเทียมได้ยาก และมูลค่างานเขียนนี้จึงสูงมากในท้องตลาด

นักเขียนคุณภาพ ที่เขียนบทความ SEO ได้จริงๆ จะมี Rate ค่าตัว บทความ $50 หรือ 1,750 บาท ซึ่ง ราคาพอๆกับงานเขียนที่ส่งสำนักพิมพิ์ ได้เลย

โดยเฉลี่ย Deal ที่ Search Monopoly ให้ Partner สายคุณภาพ ถ้าเป็นงาน และ จัดทำ Content ขึ้น Web Layout ได้จริง โดยไม่สูญเสีย Wasted Operation Time ในการ แก้ไขงาน จะอยู่ที่ 450 บาท นักเขียนที่มีความรับผิดชอบจริงๆ

ส่วนผู้เขียนบทความ SEO โดยทั่วไป เมื่อคุณได้ บทความพวกเขามา จำเป็นต้องนำมาตรวจสอบเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นแล้ว คุณจะต้องสูญเสียโอกาสการทำอันดับในระยะยาว เมื่อเว็บของคุณ ถูก suspensed ตรวจสอบค่า Confidence ว่าเป็นงานลอกเลียนเทียม

นักเขียนบทความ คุณภาพ ที่มีความเชี่ยวชาญสูง จะหาตัวยากในท้องตลาด เพราะ หาผู้เชี่ยวชาญทางด้านงานเขียนบทความเฉพาะ ได้น้อยราย

ข้อแนะนำ ของ Search Monopoly
บริษัท ลงทุนจัดจ้าง นักเขียนคุณภาพ มาไว้ประจำที่บริษัท
เรียนรู้กระบวนการทำงานเขียนที่มีคุณภาพ จากผู้เชี่ยวชาญทางด้าน SEO
มีการเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ และ ให้เวลาพวกเขา ศึกษา Business ของคุณ อย่างเหมาะสม

การจัดจ้าง นักเขียนบทความ แบบ Low Profile จะยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงสูงยิ่งกว่า และ Text แบบใช้ Pattern เดิมๆ จะส่งผลเสียต่อการจัดอับดับของเว็บคุณ

 

การสลับบรรทัด ไม่ใช่เรื่องฉลาด สำหรับ หลอก Google

การเปลี่ยน คำ ไปมา ในหลายๆ Pattern ก็ไม่ใช่

วางยาพิษให้เว็บตนเอง ด้วยนักเขียน SEO

โอกาสทำอันดับที่ลดลง โอกาสการติด Google แย่ลง

คุณรู้ไหม ว่า Google มีวิธี บีบให้เรา ตายสนิท ในหลายรูปแบบ

การ Penalty ของ Google Search สมัยนี้ ไม่เหมือนเก่า

โอกาส Impression แสดงในกราฟ แต่ User มองไม่เห็น อันดับของคุณ

มีการแกว่งตัวสูง (Ranking Swing) จากการทำอันดับ SERP.

 

Plagiarism SEO

นิยาม ของงานเขียนคุณภาพ ในบริบท SEO

ความคลาดเคลื่อน และ เข้าใจผิด เรื่อง งานเขียนคุณภาพ

การจ้างนักเขียน ที่เรียกว่า “เขียนบทความ ที่มีคุณภาพ Unique SEO” แบบนี้ ให้ระวังก่อน

หากคุณ มองหา “นักเขียนบทความ SEO” และ เผลอคลิ๊กไป Deal ติดต่องาน คุณอาจพบปัจจัยเสี่ยงตามมา

นักเขียนคุณภาพ มาจากไหน ?

ปัจจัยอะไร ให้เกิดงานเขียนที่มีคุณภาพ ?

Plagiarism คืองานขโมยงานประพันธ์ ทุกรูปแบบ และใช้ในวงการวิจัย หรืออาจจะหมายถึง การใช้ การผลิตของผู้อื่น โดยไม่ได้ให้เครดิต ของแหล่งที่มานั้นๆ

ประเด็นที่ Search Monopoly พบอยู่บ่อยๆ คือนักเขียนบทความ SEO ในเมืองไทย ไม่ได้รับโอกาส ให้เกิดการจัดจ้าง นักเขียนที่มีคุณภาพ เนื่องจาก สภาพตลาด

นักเขียนบทความคุณภาพ หรือ Unique Content ยังมีจุดบกพร่อง บางจุด โดยที่เห็นได้ชัด คือเรื่องของ การเข้าใจ หน้า Layout ของลูกค้า หรือการจัดวาง Flow ของเนื้อหา ที่จะนำมา พัฒนา Webpage ให้สอดรับได้ดีกับ เว็บของลูกค้า

นักเขียนบทความ ยังไม่มีการจำแนกประเภท และ ค่าตัวที่ชัดเจน จึงหาข้อสรุปในเรื่อง คุณภาพ และการเปรียบเทียบราคาได้อย่างเหมาะสม

 

 

Search Monopoly มีแนวทาง ของงานเขียน งานประพันธ์ ทุกชิ้นงาน ที่ไม่ได้มาจาก การผลิตงานซ้ำๆ จากที่อื่น และเรามีนโยบายการจัดหา แหล่งที่มา ที่ละเอียด แล้วไม่เร่งรีบ มีตัวช่วยในการทุ่นแรง ด้วยมันสมองของมนุษย์จจำนวนหลายๆคน ทำให้งานดำเนินการได้ง่าย และ ตอบโจทย์กับธุรกิจขนาดใหญ่

เราทำงานด้วยระบบตัดเหมา และ มีความคล่องตัวสูงกว่า นั่นจึงเป็นที่มา ว่าทำไม ลูกค้าจึงเลือกใช้งาน คุณภาพจากเรา

 

 

เนื้อหาแนะนำ >

  • บทความ seo คืออะไร ? อย่างไนถึงจะเรียกว่าบทความ SEO
  • การตรวจ SEO ของเว็บไซต์ของเรา
  • การเช็คอันดับ SEO ทำอย่างไร ?
  • การตรวจสอบว่าเว็บเรา โดน Google Penalty หรือไม่

 

 

คำค้นหา: SEARCH, SEMANTIC, Lexicon, Relevance, text, document in web page, detect Plagiarism

การทำ SEO เสมือนการ บ่มไวน์ เก่าๆ คุณภาพดีๆ แล้วผลลัพธ์ จะดีเอง

บทความนี้ เขียนเพื่อ อธิบายผู้ประกอบการ ที่จะศึกษาการทำ SEO ด้วยตนเองบ้าน หรือ อยากจะจ้างผมทำ SEO บ้าง หรือกำลังมองหาคนรับทำ SEO มืออาชีพ ที่เชื่อถือได้จริงๆ เรียนเชิญ ลองศึกษา จาก บทความนี้ก่อนครับ

เมื่อคุยกับ ผู้ประกอบการ 100 คน จะมีแค่ 1 – 3 คนเข้าใจเรื่อง การทำ SEO แบบจริงจัง และทำได้จริง

เพราะว่า สิ่งที่ 99-97 คน ต้องการ คือ ต้องการ ทำเงิน พวกเขาไม่ต้องการทำ SEO และ เขาเพียงคิดว่า SEO คือเครื่องมือทางลัด ที่ทุ่นงบประมาณ ในการทำ Ad โฆษณา ทางช่องทางอื่นๆ ซึ่ง แนวคิดก็ผิดแล้ว — หลักการง่ายๆ Google Search Engine ต้องการ เว็บที่มีคุณภาพ มีแหล่ง อ้างอิง ถึง Link ดีๆ และ แหล่ง Backlink ที่เราได้จากหน้าเว็บเพจต่างๆ ไม่ใช่เพียงแค่มาจาก Content Marketing สาย ว๊าวๆ — SEO ไม่ว๊าวครับ เพราะเน้นทำคุณประโยชน์ การผลิตชิ้นงาน SEO 1 ชิ้น ใช้กระบวนการทำงานที่ยาวนาน ต่อเนื่องกันมาหลายปี ถ้าแผนการตลาดของคุณ มีแต่เรื่อง ปั๊มยอดขาย ก็ขอให้ลืม SEO ไปได้เลย ให้ไปทำ โฆษณา ลง Ad เยอะๆ แล้วก็กระอักเลือดตายไป แบบนั้น เหมาะสมกับนักธุรกิจอย่างคุณ

 

การทำ SEO ก็เสมือนการบ่มไวน์

เคยสังเกตไหมครับ ทำไม ไวน์ บางขวด ราคาขวดละ 150,000 บาท และทำไม ไวน์ OTOP ทั่วๆไป ราคาขวดละ 199 บาท ?

การทำ SEO ก็เหมือนกันครับ มันต้องการ ที่ดิน ทำเลดีๆ ในการจัดวาง และการสร้าง web authority ที่ดี มีอะไรมากกว่า Technical SEO

การทำ SEO ใช้ ศิลปะ และ พลังภายในที่ไม่เหมือนใคร และไม่สามารถเอาใครมาทำก้ได้ง่ายๆ และหาตัวจับยากในตลาด เนื่องจาก ส่วนใหญ่ คนที่รับทำ SEO หลายๆท่าน ก็ไม่อยากเสียเวลาทำงานคุณภาพ ให้ลูกค้า ใช่ไหมครับ ? เพราะ หลายปัจจัย และสิ่งที่เจอเหมือนๆกัน คือ เจ้าของ เว็บที่อยากทำ SEO ไม่มีความเข้าใจ จนนำเพื่อให้ไปถึง การสร้างหน่วยงานระบบที่มีรูปแบบการผลิตงานคุณภาพสูงได้ หรือการทำ SEO โดยใช้ Operation จากภายในได้จริงๆจังๆ

ในตลาด Online มีพวก ฉาบฉวยเยอะมากครับ และ หากคุณเป็นผู้รับทำ SEO เอง ก็ต้องคัดดีๆ แล้วชีวิตจะดีตามครับ

  • เราทุกๆคน ยังขาดความเข้าใจ เรื่องกระบวนการ การทำ SEO ที่ถูกต้อง และ ทำแบบเป็นขั้นเป็นตอน
  • เราจะเข้าใจ Concept คร่าวๆ และง่ายๆ แบบเร่งด่วน คือ สร้าง Link และ มองหาแต่ Ranking
  • เราจะไม่เข้าใจ การทำ Link เชิงลึก ที่ได้ผลจริงๆ และยั่งยืนกว่า หรือการทำ Direct Link แบบยาวๆ ที่ ต่อรองกันยาวนาน 3-5 ปี
  • เราขาดความสม่ำเสมอในการดำเนินงาน เพราะว่า ขี้เกียจ และใจไม่ได้รักแนวทางแบบนี้

ผมแนะนำว่า ใครไม่พร้อม ลงมือปฏิบัติ ก็อย่า ริอาจ ทำ SEO ครับ

ส่วนใครเริ่มต้นศึกษา ให้ดูว่า SEO คืออะไร และ พยายาม ทำความเข้าใจ กระบวนการทำ SEO แบบจริงจัง ก่อนตัดสินใจ

 

SEO กับ เจ้าของธุรกิจ ก็เหมือนจับมาแต่งงานกัน

สำหรับ Search Monopoly ที่เรามี Positioning ชัดมากๆ เรียกได้เลยว่า ทำไม เป็น บริษัท SEO ที่เลือก ลูกค้า และ ทำไม ลูกค้า ไม่มีสิทธิ์เลือกผม (เขียนใน : มาตรฐานการทำงาน)

ขอยกเหตุผลนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ครับ ในวงการ SEO มีทั้งระบบ SEO ที่ทำแบบ Automation โดยใช้เครื่องมือ ทั้ง กึ่งอัตโนมัติ และ ระบบ SEO ที่ ออโต้ทั้งหมด

พวกนี้ หากเรียกแบบ ไม่เกรงใจกันก็คือ Spam นั่นแหละครับ แต่ยังมีคนเชื่อในพลัง PBN + Spam Low Quality Text + Massive Backlink กันอยู่อีกมาก

พวกนี้ ระยะหลังๆ จมกองเลือดกันหมดแล้ว เพราะว่า Google สามารถ ทำความเข้าใจ Pattern ของการเกิด Spam Network ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะของไทย ที่มีระบบ Spam ล้าหลัง ล้าสมัย มันเลย digging และ text mining ได้ง่ายมากๆ เข้าดักจับ กลยุทธ์โง่ๆ แบบนี้ มาตั้งแต่ ปี 2006 ปีนี้ 2017 และ 2014 มี ฮัมมิ่งเบิร์ดแล้ว และ ปีต่อๆไป เน้น User Retention และ เน้น Platform ใหญ่ๆ ที่มี Link Authority สูงๆ

 

มีพวก โง่ + ล้าหลัง จำนวนมาก
ที่ไม่เคยสนใจ พัฒนา Authority หรือเครือข่ายคุณภาพสูง

 

SME สาย ขาวสนิท ที่ทำ เรื่อยๆ เปื่อยๆ กลับมีอันดับสูงกว่า ใน Google Search Engine มากกว่า พวกไปจ้าง SEO มาทำ PBN หรือ ทำ Text ขยะ

แต่ก็ยังมีคนยัง ยินดี และ ยินยอมเป็นเหยื่อ ของการทำ SEO ด้วยความเชื่อ แบบ หลง งมงาย และขุดให้เข้าใจยากยิ่ง ยิ่งหมดหัวลงดำดิ่มเข้าสู่ ตมโคลน ในก้นหนองบึง….

 

อะไร ที่มี ประโยชน์ เป็นจุดขายที่ดีของเรา ใส่ไว้ใน Web page สิครับ

เอาเป็นว่า พอมีเว็บ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ มีไฟเต็มพิกัด อยากจะอวดของ และ ด้วยความมั่นใจว่าสินค้าเราดีจริงๆ สิ่งที่พวกเขาทำ หลักๆ คือพยายาม ยัดเยียด ขายของให้กับคนที่เข้ามาเจอพบเห็นหน้าเว็บเรา

แต่มุมมอง ของลูกค้า ไม่ใช่แบบนั้นครับ

อันดับแรก – การผลิตเนื้อหา แต่ละหน้า ใช้เวลาผลิตอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
กว่าจะได้เว็บที่มีคุณภาพสูง เราต้องเรียนรู้กระบวนการว่า ตลาดเขาต้องการอะไร ? ความชัดเจน ของเนื้อหาเรา บวกกับประสบการณ์ ในการขายของ และ กระบวนการทำงาน จะขึ้นมาอยู่ในหน้าเว็บเราเอง

พวก เอเย่นหัวใส บอกว่า ทำเว้บขายของ รวยว๊าวได้เงินล้าน ภายใน 14 นาที
ไอ้พวกนี้ไม่เข้าใจหรอกครับ พวกนี้เขารอดักฟันราคา ตีหัวเข้าบ้าน ปั๊ม Ad โฆษณา มาขายเว็บขายฝันให้คุณหลงไปเป็นลูกค้าเขาง่ายๆ ไงครับ
คิดในมุมย้อนกลับให้ดี พวกที่รับทำเว็บ เจ้าใหญ่ๆ ที่ชอบ อวดว่าฐานลูกค้า มากกว่า 50,000 ราย เคยไปดูเนื้อในเขาไหมครับ มีเว็บตายๆ ออกไปจากตลาด จำนวนกี่เว็บครับ ??

 

อยากได้ของดี หาทีมงานที่มีคุณภาพครับ

การทำ เนื้อหา และจุดขาย ไม่ใช่จบที่งานทำเว็บครับ แต่เป็นเรื่องการจัดทำเนื้อหา ระยะยาวววววว…..วว….. วว นาน มากๆครับ ทำกัน 5 ปี ก็ไม่เสร็จ
ไอ้ที่ไม่เสร็จนี่ คือมีการเติมเต็มมาตลอด การพิมพิ์เนื้อหาเพิ่ม ต้องอาศัยการประชุมทีมงาน และ คุยกับเจ้าของกิจการ โดยต้องมีนักวิเคราะห์การใช้งาน
หากทำแบบ Full Team คุณต้องมีงบประมาณ รายเดือน เลี้ยงทีมงานมืออาชีพ จำนวน 3,500,000 บาท อันนี้รวมค่าโปรโมตไปแล้ว
หรือน้องๆ ทีม In House เก่งๆ ก็ต้องใช้ Budget ราวๆ 3แสนบาท อันนี้ไม่ได้ปั้นตัวเลขเองนะครับ
UX ชั้น เซียน 1 คน ค่าตัวเขาก็ 400,000 บาทต่อเดือนละ
เอาเงินที่ไหนไปจ้างครับ

 

มันต้องช่วยๆ กันเก็บเล็กผสมน้อย บางที จ้างเขามาปรับ หรือมาเป็นที่ปรึกษาได้ แบบช่วยๆส่งเสริมกันไป หาตัวที่ลงมือ ปฏิบัติงานได้จริง
ทางทีมงานของ Search Monopoly จะมีเครื่องมือตรวจจับ Usability ที่ช่วยผู้ประกอบการ วัดผล Effectiveness ของกระบวนการทำงานและ Outcomes ผลลัพธ์ทางการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ได้อยู่แล้ว

 

และที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน ก็ทำลึกในระดับ วัด Ad Effectiveness ซึ่งจะไม่มี เอเย่นโฆษณา เจ้าไหน มาหลอกขายงานคุณ โดยล่อให้คุณ หยอด Budget ที่สิ้นเปลืองได้ เรารู้หมด และเราสามารถช่วยปรับ Utility cost ที่เหมาะสมกับ ชุดเทคนิคการขายนั้นๆ ได้อย่างสมเหตุสมผลครับ

 

สิ่งที่ที่มีการพัฒนา สิ่งนั้นควรจะวัดผลได้

Lord Kelvin from Wikipedia
หากคุณไม่สามารถวัดผลมันได้, คุณจะไม่สามารถพัฒนามันให้ดีกว่าเดิมได้ — Lord Kelvin

เราไม่ควร ทำการตลาดออนไลน์ แบบ ไร้ทิศทาง หรือ หว่านไปเรื่อย เพื่อปั๊มยอดขาย เพราะทำอย่างไร คุณก็มีแต่กระอักเลือด แนะนำว่าหา Business Partner ในทางออนไลน์ ที่มีวิสัยทัศน์ และกระบวนการพัฒนางานที่ยั่งยืน มาช่วยสอดประสานกัน ต้นทุนจะลดลงมากๆ ในแบบที่ผูกขาดตลาดได้ครับ

 

การบ่มไวน์ ที่ดี ใช้เวลานาน และ ค่อยๆ เติบโตไปกับ ธุรกิจนั้นๆ

เหมือนใน บทเพลง ของ FRANK SINATRA ชื่อเพลง IT WAS A VERY GOOD YEAR ที่มีกล่าวไว้ ในช่วงท้ายๆ เกี่ยวกับไวน์เลิศรสคุณภาพเยี่ยม


บทเพลงนี้ ส่งผ่านให้คุณได้เรียนรู้ ตั้งแต่ คนหนึ่งคนที่อายุ เริ่มตั้งแต่ 17 ปี ไปจนถึง 35 ปี เทียบกับไวน์ และ ประสบการณ์ ชีวิต ที่เขาได้เจอสาวๆ ในแต่ละช่วงชีวิต และเป็นปีที่ Good Year นั่นเอง

ผมเลยอยากฝาก สำหรับผู้ที่จะเข้ามาทำ SEO ให้มองการ setup แผนการทำ SEO ในระยะยาวๆ แบบ 3 – 5 ปี ว่าจะได้อะไร
ไม่ใช่การสร้างยอดขาย ภายใน 3 เดือนแรก แบบนั่น ทำเท่าไหร่ ก็ยากที่จะสำเร็จ

หากคุณสนใจ บริการ รับทำ SEO ของ Search Monopoly ให้ศึกษาที่ [service / seo] 

วิธี การ Resize รูปภาพ สำหรับ เนื้อหา SEO

พอทำ SEO ให้ลูกค้าหลายๆราย โดยเฉพาะ กลุ่มผู้ประกอบการ SME นั้น ทางเจ้าหน้าที่ ของบริษัทต่างๆ ต่างยังคงขาดประสบการณ์ ในการสร้างคุณภาพ เนื้อหา (Content) โดยเฉพาะ เรื่องของ รูปภาพ ที่พวกเขามองข้าม และไม่ได้ให้ความสำคัญ ประกอบกับความไม่รู้ในกระบวนการผลิตผลงานให้ผ่านมาตรฐาน Google Webmaster Policy ซึ่งจะยิ่งทำให้พวกเขา ห่างไกล จากความสำเร็จ ทางการจัดอันดับใน Search Engine. 

เรื่องของการ ย่อไฟล์ และ การ บีบอัดรูปภาพ เพื่อผล SEO ที่ดีกว่า

ตัวอย่าง ที่นำเสนอนี้ คือวิธีการ จัดเตรียมรูปภาพ ที่มีมาตรฐาน สำหรับนำไปจัดทำบทความ เพื่อทำอันดับ SEO ให้ดีมากยิ่งขึ้น

 

เริ่มต้น 1 – รูปภาพที่ได้มา ให้กำหนดขนาดก่อน

 

เลือกภาพที่เราต้องการปรับขนาดให้เล็กลง

รูปภาพ ตัวอย่าง ที่ได้มาจากลูกค้ารายหนึ่ง ใน Folder รูปภาพ ที่รวม Images จำนวนมากๆ เกี่ยวกับสินค้า และ บริการของธุรกิจ

ใน step แรกนี้ ให้เรา ลองพิจารณา การวาง Layout ว่าเราจะ สร้าง พื้นที่ ของรูปภาพ ขนาดเท่าไหร่

 

โดยรูปภาพ จะถูกกำหนด ความสูง x ความยาวของรูปภาพ

คำอธิบาย – กระบวนการ ทำ SEO นั้น ทางผู้ว่าจ้าง มักมองว่า ผู้รับทำ SEO อาจไม่ได้ มีงานที่ต้องทำอะไรมาก และ ไม่เข้าใจว่า กระบวนการทำอันดับ SEO นั้น ต้องทำอะไรบ้าง และมักจะมาสอบถามว่า เราทำอะไร ให้มันติดอันดับใน Google ทาง Search Monopoly แนะนำว่า เรามีเรื่องที่ต้องทำ ต่อลูกค้า 1 ราย เป็น 1000 กว่ารายการ ที่ต้องตรวจสอบ เราไม่สามารถ บอกเป็น ข้อสรุป หนึ่ง – สอง – สาม ว่าคุณต้องทำอะไร ซึ่งคำถามเหล่านี้ หากอยากรู้หมด ขอแนะนำว่า ให้คุณ จ้างเป็นการปรึกษาต่างหาก เพราะหากให้ Training ให้บริษัทเข้าใจการดำเนินงานจริงๆ เราจำเป็นต้องใช้เวลาในการสอนงานให้รู้ทุกมิติของการทำ SEO กว่า 600 ชั่วโมง หาก บริษัทใด ที่ต้องการให้เราสอนในเรื่องของ งาน Operation SEO ให้ครบถ้วน โปรดจัดจ้างเป็นรายปี โดยเราคิด Rate 1,500 บาท x 600 ชั่วโมง เป็นราคา ประมาณ 900,000 บาท แล้วคุณสามารถนำไปให้ลูกน้อง และ เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้เอง หากคุณสนใจ บริการ การทำ SEO ของ Search Monopoly ซึ่งมุ่งเน้นการ Operation งานที่มีคุณภาพ เก็บงานทุกรายละเอียด โปรดเข้ามาดูรายละเอียด บริการ รับทำ SEO (จะช่วยลดต้นทุนและรายจ่ายบานปลายได้มาก)

ภาพที่คุณเห็นเบื้องต้นนั้น หากลอง inspect หรือ look up properties โดยทำการ Click ขวา สำหรับ Window OS. คุณจะเห็นรายละเอียด ดังต่อไปนี้

เช็คขนาดภาพ size ที่ใหญ่เกิน

โดยทาง Policy เรื่องของ มาตรฐาน การผลิตงาน SEO ของ Search Monopoly เราจะเน้นให้ภาพทุกภาพ ทำการ Render ได้ฉับไว ตอบสนองกับ Google Search Engine ได้ดี 

ชื่อภาพ ถูกตั้งชื่อได้ถูกต้องแล้วหรือยัง ตัวอย่าง double-layer-a-p01.jpg (ถูกต้องแล้ว)
ขนาด (Size) สามารถทำได้ต่ำกว่า 70KB ได้ไหม ? ภาพนี้ ยังมีขนาด 202 KB ซึ่งยังไม่ได้มาตรฐาน
Dimension หรือ Area ของภาพ องค์ประกอบรวม เหมาะสมกับการจัดวาง Layout หรือไม่? ขนาดภาพ ใหญ่เกินไป กว้าง x ยาว
Alternate Text ถูกระบุได้ เหมาะสมหรือไม่? แล้วใส่หรือยัง?

ตัวอย่าง ALT TEXT ควรจะเป็น

“ภาพถ่าย หน้างาน การติดตั้งประตูม้วน สีเทา รุ่น Double Layer A100”

ขนาด dimension ของภาพ

เมื่อเราลองมา Inspect ภาพนี้ กลับพบว่า ภาพมีขนาดที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถ และ ไม่ควรนำไปใส่ในบทความเพื่อทำอันดับ SEO

เราควรจะต้อทำการ Re-Size ขนาดภาพเบื้องต้น และ กำหนด Proportion ที่เหมาะสม โดยใช้วิธีการ กำหนดขนาดให้เหมาะสม

โดยเราอาจใช้เครื่องมือ Image Editor ต่างๆ ซึ่งทาง Search Monopoly จะลองใช้ Photoshop ในการปรับภาพ

เมื่อใช้ Photoshop function crop ภาพ โดยภาพตัวอย่างนี้ ลองพิจารณา การวางองค์ประกอบ Layout แล้ว พบว่า จะใช้
Dimension ขนาด 550 x 350 แทน ขนาดเดิม ที่เป็น 1280 x 960 px. จะทำให้ลดทอนขนาดลงได้มาก

จัดการวางภาพ และ area ของการ crop ภาพ ให้เหมาะสม 

รายละเอียด ต่อไป ให้กำหนด เป็น Low Quality หรือ ระดับ 5 ก็ได้ ไม่ควรใส่ 8 – 12 เพราะภาพจะมีขนาดที่ใหญ่เกินไป

การขายของทางออนไลน์ เราไม่ได้ขายงานศิลปิน ไม่จำเป็นต้องลงภาพขนาด 3MB หรือ 15MB ซึ่งหากทำแล้ว webpage จะบวม และ อำลา อันดับ Google ไปได้เลย

ฉะนั้น จะขายของระดับ ร้อยล้าน ทาง webpage ให้ทำการ ลดขนาด size ภาพ ให้ใกล้เคียงกับ 70KB ซึ่งจะทำให้ เว็บเพจ มี Performance ที่ดียิ่งขึ้น 

STEP ที่ 2 คือสร้าง identity ความเป็นเจ้าของภาพ และ ป้องกัน การ ขโมยภาพ

ซึ่งทาง Search Monopoly มีเทคนิคการฝัง script ให้กับลูกค้าทุกราย หากมีการขโมยภาพสินค้าที่เป็น Original ของลูกค้าเราไป เราจะได้ credit ความเป็นเจ้าของหรือ Authority เต็มๆ

อีกวิธีที่ทาง Operation หรือพนักงาน ของลูกค้าดำเนินการ คือการใส่ลายน้ำ หรือคาบแถบต่างๆ ให้มีตัวตน หรือ Brand ของ บริษัท 

การใส่ลายน้ำให้ภาพ

เมื่อใส่ลายน้ำ หรือ LOGO ของเราลงไป ให้ทำการ ย่อ image size ให้เหลือตาม Proportion ที่เราต้องการ คือ 550 x 350

เมื่อย่อลงอีก เราจะได้ไฟล์ภาพขนาด 47.9 KB ซึ่ง Performance สูงกว่ามาตรฐาน

แนะนำให้ใช้ Baseline Optimized สำหรับภาพที่ไม่สำคัญมาก เป็นภาพรายละเอียด สินค้าทั่วๆไป 

STEP ที่ 3 คือ การสร้าง Image ให้มี Sense ของการขายสินค้า

ใช้จิตวิทยาเรื่องการไล่สี อันนี้จะเป็นงาน design ถ้ามีเวลา แล้วค่อยทำ ถ้ารีบก็อย่าทำ แต่ทาง Search Monopoly มี trick พิเศษ ที่มีการจัดวาง Object ให้ดูลื่นตา และ ปรับกับ Flow ของ UX ที่คอมีคุณภาพที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของการทำอันดับ SEO ซึ่งหากสนใจ Step ที่ 3 ให้ศึกษาเพิ่มเติม หรือสอบถามที่ Search Monopoly

การปรับภาพ ให้สี สะดุดสายตา

สร้าง Feeling เรื่องสี โทน ความรู้สึก มันใช้จินจนาการ ไม่เกี่ยวกับ SEO โปรดข้ามไป STEP 4 ได้เลย

STEP ที่ 4 การใช้ เครื่องมือ บีบอัดภาพ ด้วย Online Tool

เมื่อเรา ได้ภาพที่ต้องการแล้ว งานของเรา ยังไม่จบ หากทำ SEO ให้สุดขั้นกว่านี้ จะมีการใช้ Tool บีบอัดภาพให้ละเอียดกว่าเดิม

เครื่องมือบีบอัดภาพ ทีละภาพ สำหรับ เว็บที่ไม่มีขนาดเยอะ
แนะนำเพิ่มเติม : ถ้าเว็บไหนมี 100,00 ภาพที่ต้องบีบอัด ให้เช่า Tool มารอบนึงเลย ทำยาวๆ แล้ว re-upload จะไวกว่า เราควรพิจารณาจัดจ้างจ้าง โปรแกรมเม่อร์ ทำ job เดียว เช่น Re-Upload + ALT Text ไปด้วย

ภาพที่บีบอัด ลดลงมาเหลือเพียง 26 KB จากเดิม 202 KB
ภาพนี้ สามารถนำไปใช้งานในหน้าเว็บเพจได้แล้ว

ตัวอย่างภาพ ที่บีบอัดแล้ว

เมื่อเรานำภาพ ไปใส่ในเว็บของเรา (ในที่นี้ เราใช้ CMS WordPress) ทำให้ง่ายต่อการจัดการมากๆ

ตัวอย่าง หน้า web layout ที่ ตกแต่งอย่างดี

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ให้เรานำภาพไปจัดแสดงหน้าเว็บ Layout และปรับ Class + ID ต่างๆ เพื่อตระเตรียมการขึ้น Call To Action หรือ Story Telling เพื่อการปิดการขายงานนี้ โดยจะต้องใช้พลังสร้างสรรค์ของงานเขียน เนื้อหาและบทความSEO เข้ามาเป็นตัวช่วยอีกทีหนึ่ง

การทำ Backlink – หา ลิงค์ เพื่อการทำ อันดับ SEO

Do Backlinks Still Matter for SEO (2017) ?

ถ้าให้ Search Monopoly กล่าว บอกตรงๆ ว่า สำคัญมากกว่าปีที่ผ่านๆมาอีกครับ

คนที่พัฒนา โครงสร้าง และ ความแข็งแรงของ Backlink ยิ่งช้าเท่าไหร่ คุณยิ่ง เพิ่มต้นทุน ให้แก่ธุรกิจของตนเองในอนาคตมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้ SEO Rate ในไทย จากแต่ก่อน สมัยสัก 10 ปีที่แล้ว ตกเดือนละ 1,900 บาท - 2,500 บาท

สมัยนี้ ค่าดูแล SEO สายคุรภาพ ก็ราวๆ ที่ 20,000 บาทแล้วครับ บวกค่า Backlink ที่จมลงไปอีก
บอกตรงๆ ว่า ปี 2017 ค่า SEO + Backlink ก็ราวๆ 60,000 บาทแล้วครับ

ประมาณการคร่าวๆ - คนทำ Backlink ตอนนี้ ประหยัดได้ 250,000 ต่อเดือน ในอีก 10 ปีข้างหน้า

อย่ารีรอ ที่จะหาวิธีการทำ Backlink เพื่อการจัดอันดับ SEO ครับ และทำมันอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด 

บทความนี้ ใครคิดว่าผม นั่งเทียน เขียนขึ้นมาเอง ให้ไปค้นหา และศึกษา จากบทความใน Google นะครับ
แปลเอาเองครับ : Do Back links Still Matter ?

seo authority backlink checkers

ให้ดูภาพ โดยให้ เว็บ โดเมน "SearchMonopoly.com" เช็คด้วยตนเอง เราก็พบว่า Moz Tool Checker นั้น ให้คะแนนรายงานกลับมาครับ
ซึ่งผมคาดเดาของตนเองในปีนี้ (2017) ไว้ต่ำมากๆ ไม่น่าเกิน 30
คะแนน DA ตอนนี้ผมได้ 26 / 100 ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่กลัว ตัวใหญ่ครับ
ผมเองมีเครื่องมือที่ตรวจสอบได้ลึกละเอียดกว่านี้ ให้เครื่องมือสาย Onpage เข้ามาช่วย
เรื่อง Domain Authority ยังเป็นปัจจัยรองๆ ที่เราสามารถประคองได้อยู่ครับ แต่แท้จริงแล้ว ลองอ่าน บทความเกี่ยวกับ ความสำคัญของค่า DA ในศาสตร์ของการทำ SEO ดูครับ แล้วคุณจะเข้าใจเรื่องการทำอันดับทาง Organic Traffic มากยิ่งขึ้น

มีเว็บบางแห่ง มาบอกผู้อ่านว่า Backlink ถูกลดความสำคัญ สำหรับการทำ SEO - ซึ่ง ทาง Search Monopoly ต้องขอ สรุปอย่างรวดเร็วเลยว่า ไม่จริงครับ

ทำไม หลายๆ สำนัก เชื่อว่า Backlink มีผลกับการทำ อันดับ ทาง SEO น้อยลง ?

คำตอบคือ - คนทำเว็บ หา Backlink เองไม่ได้ต่างหากครับ และ แหล่งทำเว็บ Authority ในไทย ต่างทำแบบ ไม่มีรูปแบบ ที่แข็งแรงมากพอ

พูดง่ายๆ คือ การทำ Backlink ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆครับ ยิ่งนานวัน โอกาส การทำ Backlink ยิ่งแคบลง

คนที่เริ่มทำ Backlink ในวันนี้ จะไปสู้ คนที่ทำ Backlink เมื่อ 5 ปีที่แล้ว อย่างไรครับ ?

PBN คืออะไร ? – ทำแล้วเสี่ยงไหม ? | เทคนิค SEO สายดำ เทา

ยังไม่ได้มีแผนเขียนเรื่อง การทำ PBN ให้กับ งาน SEO เสียสักเท่าไหร่ เพราะ มองว่าไม่ค่อยมีความจำเป็น แต่เห็นว่า มีคนหลายคน ยังหลงทางไปทำ Private Network Blog ในแบบ Spam กันอยู่ เพื่อเอาการจัดอันดับทาง Search Engine (Google) กันแบบง่ายๆ และสะดวกรวดเร็ว

ผมเห็น พวก บริษัท รับทำ SEO ที่อยู่อันดับต้นๆ ใน Google Search Engine นิยม เอาระบบ PBN มาปล่อยขาย แล้วระบบ เน็ตเสิร์คส่วนตัว ก็มักใช้ เครื่องมือ Spin Text จำนวนมากๆ เพื่อผลิต Text Input อันรวดเร็ว เป็นแนวทางการ Manipulate Google ให้เข้าใจว่า พวก Aged Domain ที่เราประมูลมานั้น มันมีการเติบโตของการพัฒนา Content นั้นๆ จริงๆ แต่เมื่อ เราได้เข้าไปดู เนื้อหา หรือการจัดอันดับของ PBN เหล่านั้น ก็ไม่ได้ก่อให้เกิด ประโยชน์อันใด และมันไม่ได้ส่งผลดีต่อการทำอันดับ ได้อย่างเป็นรูปธรรม คือ ที่ผมเห็น มันก็แค่ แกว่งขึ้นมาสูงๆ แล้วก็ร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว

ก็เลยแปลกใจ ทำไม ยังมีคนนิยมไปใช้งาน SEO ราคาถูก และ นิยมการทำ PBN กันอยู่
สังเกตว่า พวกที่ไปใช้บริการ รับทำ SEO ราคาถูก หรือไปเช้า Network PBN เหล่านี้ มักจะเป็น พวกเปิดเว็บฉาบฉวย ไม่ได้ปั้นธุรกิจจริงจัง พวกนี้ มาแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว
พูดง่ายๆ คนกลุ่มนี้ มี 2ประเภท
1. รู้อยู่แก่ใจว่ามาหลอก Google และต้องการ เครือข่าย Spam แบบนี้อยู่แล้ว เพราะสินค้า ไม่ได้ยั่งยืน
2. พวก ไม่รู้จริงๆ คือ ฉลาด ไม่เท่าทันเกมส์ คนกลุ่มนี้น่าสงสารครับ ธุรกิจอาจดีแล้ว แต่ดันแหย่เท้าลงไปในระบบ Spam Backlink

SEO สมัยนี้ไม่ได้ทำง่ายแล้วครับ ถ้าไม่ได้ทำเชิงคุณภาพ ก็อย่าหวังว่าจะติดอันดับใน Google ได้ในระยะยาวครับ

การทำ No-Index สำหรับ หน้าเพจ Archive ช่วงเวลา โพส ใน WordPress

เราพลาดเอง ที่ หลายเดือนที่ผ่านมาเอาแต่ วิจารณ์เว็บชาวบ้าน จนลืมดูว่าเว็บตนเอง มีช่องโหว่ที่น่าเกลียดมากๆ นั่นคือ Duplicated Title Tag ที่มาจาก การผลิต URL ของ Archive ซึ่งเป็น Taxonomy อันหนึ่งของ WordPress ที่มีกันโดยทั่วไป

หลักจากที่ได้เขียนบทความเรื่อง อันดับตกใน Google ที่มาจากการทำ Thin Content และ เรื่องของการพัฒนา โครงสร้าง เว็บไซต์ (Site Structure) เพื่อผล SEO ที่ดียิ่งขึ้น ตอนนี้ Search Monopoly กำลังประสบปัญหา Impacts อย่างหนัก จากการเพิกเฉยเรื่องของการจัดวาง โครงสร้าง website แบบมืออาชีพ ซึ่งเป็นสายแข็ง ของ Technical SEO และไม่ควรปล่อยให้ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก เพราะมันจะเสียเวลา ดึงอันดับกลับมา อย่างน้อยๆ ก็ 90 วัน (นั่นหมายถึง เราขาดโอกาส เติบโต แบบก้าวกระโดดอีก 3 เดือน)

บทความนี้ จะเขียนถ่ายทอดจากประสบการณ์ ที่เกิดขึ้นจริงในเว็บ Search Monopoly ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2014 และ ปล่อยทิ้งหลังจากการทำ เฉลยข้อสอบ Google AdWords ที่สอนในระบบ The War Room ในช่วง ปีใหม่ที่ผ่านมา

หลักจากที่ได้ทำการ SEO Validation หนักในเรื่องของ site structure ซึ่งผมเองก็ค้นพบความผิดปกติ ตั้งแต่ช่วง JUNE ที่ผ่านมาแล้ว เพราะ เห็น หัวกราฟ ของ Impression ใน Google Search Console กระดกลงอย่างมีนัยยะ ทั้งๆ ที่ Links ไม่ได้สูญเสียมาก และ ไม่มีการปรับใหญ่ ของ Google Algorithm

สิ่งที่เราเห็น คือ Pattern ของ จำนวนหน้าที่เกี่ยวกับการเฉลยข้อสอบ ขึ้นอับดับสูงอย่างมีนัยยะ เพราะปริมาณ Index ใน SERP ขึ้นมามาก และรวดเร็ว จากการที่เราไปทำ Index ไว้เยอะเกิน ทำให้ Google เข้าใจและให้น้ำหนักในช่วงหน้าแรกๆ ที่เว็บของเรา FLOW URLs เข้ามาเป็นเรื่อง ของการ เฉลยข้อสอบ Google เสียส่วนใหญ่ นั่นก็บ่งบอกสัญญาณที่ไม่ดีเข้ามาเรื่อยๆ

อีกทั้ง Keyword ที่เป็น Targeting Keyword ที่เคยทำไว้ได้ดีก็ทยอยหายไปจากหน้า Google Search Engine. แม้ว่า Organic Traffic นั้นโตเอา โตเอา โตวันโตคืน แต่ Return กลับด้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา ( ยาพิษของ Google เริ่มออกฤทธิ์แล้ว ) ทีนี้ จากประสบการณ์ของการทำ SEO มานานนับ 8 ปี ก็ต้องขอโชว์ฝีมือ ในการงัด เอาขยะในระบบของเรา ออกมาขัดสนิม ให้ทำอันดับที่ดีให้ได้ขึ้นอีกครั้ง — เราจะเล่นหมากต่อจากนี้อย่างไร ต้องติดตาม…

ปัญหาของ Duplicated Index ที่ ทำลาย โครงสร้าง

หลังจากที่ Hurt มามากมายกับผล Impression ที่วิ่งไปมั่ว และ Usability แย่ลง การใช้งานเว็บ อยู่ในเกณฑ์ ที่ไม่น่าพอใจ แม้เว็บมีการเติบโตบ้าง มีการเก็บ Long Tail Keywords แต่ก็พบว่า ยังมีจุดอ่อนอยู่มาก เนื่องจาก Content ที่ถูกผลิต ในเว็บ Search Monopoly เป็น Text ชนิด ให้ความรู้ Technical เชิงลึก ทำให้ คนขวัญอ่อน ถึงกับปิดได้โดยพลัน.

ที่แต่เขียนเพราะเป็น core ปัญหาจริงๆ คุณควรมาเรียนรู้กับเราที่ระบบ The War Room ด้วย จะได้เข้าใจว่า โลกของ Digital Marketing นั้น ไม่ได้ สวยหรู แบบที่ ท่าน มโนฝันหวานเอาไว้ และการขายของออนไลน์ ก็ต้องมาพัฒนา Real Estate ของตนเอง ตรงนี้

ช่วงนี้เห็นได้ชัดเจนว่า พวก Social Guru ต่างๆ ก็เอาใจมาปั้น content ลง webpage กันมากมายแล้ว

สิ่งที่เป็นปัญหา ที่พบ คือ โครงสร้าง ของ website ไม่ได้ นั่นหมายถึงการจัดเรียง บริบทของ URL หรือ พวก Category ที่ ทับซ้อนกันมากเกินไป

สิ่งที่ผิดพลาดคือการยัด Sitemap ที่เป็นของ WordPress Plug-in ลงไปด้วย ทำให้ระยะยาว Google มองภาพ โครงสร้างเว็บของเราจาก SiteMap ตั้วนี้เป็นหลัก

screaming frog seo result url index

เรื่องบางอย่างนั้นเกิดมาจากความไม่ระวังของเราเองแท้ๆ หลังจากที่ได้ใช้ Screaming Frog ในการตรวจสอบ และแยกสกัดเอา URL HTML ของ Search Monopoly ออกมากางดู ถึงกับต้องก่ายหน้าผาก เพราะว่า โครงสร้างที่ตนเอง จินตนาการไว้ กันสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆนั้น ต่างกันฟ้ากับเหว

และวันนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำการแก้ไขอย่างด่วน ในขณะที่เราก็ทยอยทำ Landing Page ไปด้วยก็คือ การทำ No-Index ของพวก Achive Page ออกให้หมดเสียก่อน

มาดู วิธี การทำ No-Index ให้กับ Achive Page ใน WordPress Post กันได้แล้ว

ลองหาเวลาว่างๆ ในช่วงค่ำคืนดึกๆนี้ มาปรับแก้ไข เรื่องการ Index Web ตนเอง ให้ Clean มากขึ้น

Point ของการทำ เรื่องยากๆ วุ่นวายพวกนี้ เพราะต้องการ Outcomes ของ impression ที่ต้องการ การเติบโต แบบก้าวกระโดดอีก 150 เท่าตัว

พูดง่ายๆ ว่า Web Search Monopoly แห่งนี้ จะมี Impression ต่อวัน ราวๆ 300,000 impression และมี CTR ราวๆ 3% ก็จะได้คนเข้าเว็บราวๆ 9,000 คนต่อวัน อันนี้ ขอแนะนำให้ไปเรียนรู้ที่ระบบ The War Room เพื่อทำการเรียนรู้เรื่องการตัดต้นทุนเรื่อง ค่าโฆษณา Google AdWords และ เข้ามาเรียนรู้ การทำการตลาดออนไลน์ โดยใช้ Business Development Models ของ Search Monopoly และการทำ Scale เพื่อการเติบโตในการทำ อันดับทาง Search Engine (SEO)

พูดง่ายๆ Outcomes อันนี้ จะช่วยให้ผมสร้างเงินหลัก ร้อยล้าน ในอนาคตอันใกล้นี้ และ พัฒนายาวนานตลอดอีก 3 ปี หรืออีก 1,095 วัน

แต่ตอนนี้ ผมได้มาวิเคราะห์ แล้วเจออุปสรรคที่ทำให้ไปไม่ถึงเป้า นั่นคือ ต้องการปรับ โครงสร้างเว็บไซต์ ให้เราทำอันดับให้ดีมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ก่อนอื่น ขอแนะนำการค้นหา โดยลองหาใน Google ก่อนเลย ลองใช้คำว่า “Noindex Archive Pages in WordPress” คุณจะได้ Solution ยาว เต็มไปหมดเลยครับ Advance มากๆ ในแบบที่ผมเองก็ไม่เคยจินตนาการมาก่อน ว่ามันมี อะไร โหดๆ สายแข็งแบบนี้ด้วย

<meta name="robots" content="noindex,follow" />
ไอ้แบบนี้เราต้องยัดลงไปใน Head ของ หน้า ที่เราไม่ต้องการจะให้มัน Index ใน Google นั่นเอง

วิธีการทำ ง่ายๆ

<?php
if(is_archive()) { ?>
<meta name=’robots’ content=’noindex,follow’ />
<?php }?>

วิธีการทำ ง่ายๆ อีกอัน

add_action( 'wp_head', 'add_noindex' );
function add_noindex() {
if(is_archive()) {
echo '<meta name="robots" content="noindex,follow" />';
}
}

วิธีง่ายๆ สำหรับคนใช้ Yoast Plugin ทำให้ NoIndex ใน หน้า Achive

เราจะเริ่มฉลาดขึ้น เมื่อเราขี้เกียจขึ้น แนะนำให้ใช้ Yoast ม้วนเดียวจบเลยครับ ลอง Download มาใช้กันดู ผมว่าคนที่ทำ SEO และใช้ WordPress เนี่ย ใครไม่ได้ใช้ Yoast ถือว่า เทพครับ เพราะเห็นพวก Noobie ทั้งหลาย มักใช้ Yoast รวมทั้งผมด้วย

คนเก่งๆ Mod Yoast และ บ้างก็ code สดๆ ทำได้โหดกว่าครับ อยู่ที่คุณ มีงบจ้างพวกเขาหรือเปล่า พวกเอเย่นหลอกกินหัวคิวก็เยอะ บางที เอาเงิน แสนกะมาซื้อทอง แต่ได้ทองม้วน แม่กิมฮวย …
ฮวยห่วยแตก … มีเยอะครับ ระวังไว้ !!

no-index-no-follow

หลังจากได้ลองใช้งานดูแล้วครับ บรรทัดเดียวก็เสียวได้ครับ ลองไปปรับเล่นดูได้เลย

มาตรการยาแรงต่อไป คือการปรับ 301 Re-directions หากหัวยังไม่กระดก.

 

การแก้ของคืนนี้ ยังเป็นแค่น้ำจิ้มครับ เพราะยังมี Tasks ที่รอเราอีกจำนวนมากๆ โดยเฉพาะ การปรับปรุง Prefix ที่ทับซ้อนกัน และอื่นๆอีกมากมาย

 

โครงสร้าง เฉลย ข้อสอบ Google AdWords และ พวก Next Page , Previous Page ที่ผมยังไม่ได้แก้ไข อันนี้ต้องหาเวลามาปรับใหม่

การ On-Page ใช้เวลาแก้ไขไปเรื่อย ค่อยๆเป็นค่อยๆ ไป ทำไป ได้ Backlink ไปด้วย ก็ยิ่งดี จริงไหมครบ หากสนใจ เข้าร่วมเรียนรู้การเติบโต ให้กับเว็บของคุณ ในแบบที่หาเรียนที่ไหน ไม่ได้ อยากได้ สายแข็ง แนะนำให้มาเข้าร่วมที่กลุ่มของเราครับ The War Room

เราคัดคนที่มีศักยภาพ และตั้งใจทำโครงการ และพัฒนาเว็บจริงจัง ให้ผูกขาดและสร้างพันธมิตร เติมเต็มในการจัดอันดับได้อย่างไม่สิ้นสุด

 

การปรับแต่ง No Index ด้วย Yoast Plugin

ลองดาวน์โหลด Yoast มาลงใน WorsPress แล้วลองปรับที่ Format ตามภาพที่แนบไว้ด้านล้างครับ

YOAST WordPress plugin seo toolการปรับ Format เป็น No Index ใน Yoast plugin

หลังจาก ทำตามขั้นตอนนี้ URL ของเว็บคุณ จะ No Index ใน section ที่เป็น Achive แล้ว แต่ก็ยังไม่พอครับ ต้องทำการ Update Sitemap ให้เรียบร้อย จะได้ไม่ไปบอก Google ให้มาเก็บ URL ที่มีปัญหา และสุ่มเสี่ยงเหล่านี้

ยุค 2017 นี้ SEO ควร จัดการเรื่อง Indexation ที่สะอาดที่สุด ไม่ควร Index มั่วๆ เพราะ หน้าบทความโหดๆ 1 หน้า สามารถทำ Keyword และมีอันดับที่ดี รวมทั้ง สร้าง Long Tail และ Niches Keywords ที่ทำให้ Site Usability ดีขึ้น เพราะเป็นบทความที่หาไม่ได้ ทั่วไป ทำบทความดีๆ ต้องซ่อนดีๆด้วยครับ การทำเว็บสมัยนี้ ทำบทความ How-to หมัดเด็น ที่แอบๆ ซ่อนๆ ไว้ในเว็บ
วันๆ หนึ่ง สามารถผลิต Organic Traffic จากหน้านี้ ได้เป็นจำนวนมากๆครับ

อับดับSEO ตก เพราะ index มากๆ แก้ไขอย่างไร?

ตั้งแต่ทำ site structure และเล่น Schema SEO มาสักพัก ทำให้พอเข้าใจการทำงานของ Micro Moments และ การทำอันดับของ search engine ในยุคนี้ หลังจากที่ทดลอง ลอง Test Thin content แบบที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะดันไปติด index จำนวนมากๆ แล้ว search query จำนวนมากๆเข้าออกมา หรือที่สมัยก่อนๆ เราเรียกว่า การ ปั๊ม index. หรือบางเจ้าก็เรียน spam SERP. อันนี้ เป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับการทำ SEO – เนื่องจาก ยุคนี้ UX และ การใช้งาน ที่ต้องมาก่อน อย่าทำให้ รูปแบบ อัตตราการใช้งานที่มีคุณภาพของเราเสียของลงไป

Google Search Engine นั้นจับพฤติกรรม รูปแบบ การทำ Index บน SERP ที่ ไร้คุณภาพได้ครับ ถ้าไม่โดนกับตนเอง ไม่มีทางรู้ได้เลย ตอนนี้ หัวของ Impression ของผม เริ่มกระดกลงแล้ว เพราะมี Pattern ของ Thin Content ที่ติดหน้าแรกๆ มากเกินไป.

declined trend in impression - webmaster tool

แนะนำว่า ให้ระวังการจัดทำ เนื้อหา ควรจะสมบูรณ์ระดับนึงก่อนครับ แล้วจึงนำไปให้ติด Index.
แนะนำอีกเรื่องนึง ให้ใช้การระบุ Internal Links ให้มีคุณภาพ อย่าวางมั่วแบบเมื่อก่อน Google Search Engine เริ่มมองเห็นพฤติกรรม Link Farming หรือการเล่น Exact Keyword – Anchor Text Link ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำเนื้อหา สร้างมาให้คนอ่านนั่นแหละดีกว่า

เดี๋ยวนี้ต้องมีการ ทำการบ้านเยอะๆ คนอ่าน ยิ่งเอาใจยากขึ้นทุกวี่วัน ให้โบนัส จากการอ่านของเขา ด้วยการปล่อยของ เจ๋งๆ ที่หาไม่ได้ที่ไหน ให้เขาได้ลองใช้งาน และ ติดใจ website ของเรา มากขึ้นเรื่อยๆ การใช้งาน ซ้ำๆ แม้จะมีรูปแบบ การ Bounce ออก แต่เกิด Re-visited ตาม Cookie ที่จับได้ นั่นหมายความว่า SEO เรา เสถียรมากยิ่งขึ้น

ไม่แปลกเลยว่า ทำไม คนที่ทำ โฆษณา Google AdWords หรือพวก AdWords Agency มักออกตัวอย่างแรงเลยว่า ยิ่งซื้อ Keyword ใน Google มากเท่าไหร่ โอกาสยิ่งติด Search Engine มากขึ้นไปเท่านั้น หรือไม่ก็ Google ให้คะแนน พิศวาส สำหรับคนที่ ซื้อโฆษณากับ Google AdWords ใช่ไหมหล่ะ ??

แท้จริงแล้ว ไม่ใช่แบบที่คุณคิดแม้แต่น้อย

แต่ถามว่า Google AdWords ซื้อแล้ว ทำไม Rank ขึ้นเร็วหล่ะ ?

อันนี้ มีคำตอบแบบ เข้าใจ อ้อมๆ ครับ — การซื้อ โฆษณา Google AdWords ทำให้ Google เข้าใจพฤติกรรม การใช้งาน และเข้าใจว่า Page นั้น มีคุณภาพ ทำตลาดหรือทำกำไรได้ อย่างไรเสีย Google ก็วัดใจสักระยะ เพราะมันเริ่ม Research ปัจจัยเรื่อง AdRank ด้วย แต่อย่าลืมว่า Google ไม่ได้ อยากจะให้ใครได้ที่ 1 ใน Organic ด้วยการผูกขาด เขาแค่เอาคุณมาเป็น variants ในการทำ Research Usability ของ Google Search Result Page เท่านั้นเองครับ ฉะนั้น อย่าดีใจไปเลย

เทพๆ SEO หน่อย ที่ไม่เจียดเงินเสียค่า AdWords สักกะบาท ก็ใช้วิธีการ Scrape หรือ ลอง Hack แนวทางการวาง UX / Layout และ Test Content ของคู่แข่งที่จ่าย AdWords เยอะๆ แล้วลอง Index ดูเลย (Solution นี้ วิชามาร อย่านำไปใช้นะครับ บอกให้ว่ามันมีเล่นแบบนี้กัน) สุดท้ายทำงานละเอียด มีคุณภาพของเรา ไม่เครียด ไม่วุ่นวาย สนุกกับการทำงานมากกว่าครับ และเนื้องาน จะออกมาดีกว่ามากๆ

เอาเป็นว่า สำหรับคนที่มีปัญหา อันดับตกใน Google สิ่งที่เขาต้องพิจารณา อยากให้นำเนื้อหา ในวิชาที่เราได้สอนในระบบ “The War Room” เข้ามาใช้ครับ นั่นคือ การ Revamp Page Layout ให้เป็น UX มากขึ้น และการ Re-Site Structure ให้มีคุณภาพมากขึ้น ทำการกรอก Low Quality Content ออกไปหน้าลึกๆ จากโครงสร้างหลัก และ อย่าลืม Re-mapping Site map ของเราให้เน้นคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น การแก้ไขที่เราติดหนี้ Google Search จะใช้เวลานานถึง 90 วัน ฉะนั้น ค่อยๆ สะสมไปนะครับ อย่ารีบเร่ง ใครพลาดแล้ว แล้วไม่กลับตัว ดันทะลึ่ง เข้าไปใช้ยาแรง อันนี้ผมเองก็ช่วยไม่ได้แล้ว

เริ่มแก่แล้ว เดี๋ยวนี้ ชอบมองคน หัวรั้น เดินตกเหวตาย – ไม่กระโดดเข้าไปช่วยแล้วนะครับ ปล่อยให้ตายคาก้นเหว แบบที่เขาพยายามดันทุรัง ดูแล้วสนุกกว่า สมัยก่อน ยังมีลูกฮึดบ้าจี้ ช่วยคนแบบฟรีๆ แต่ก็เจ็บตัวฟรีมาเยอะ
ทำงานมาหลายปี เข้าใจ จิตใจลึกๆของคน สุดท้ายแล้ว ก็ไว้ใจใครไม่ได้ครับ ใครคุยรู้เรื่อง พอช่วยได้ก็ช่วย ใครดื้อ ก็ปล่อยเกียร์ว่าง

การ Re-site Structure หรือ re-design site URLS แบบ Site wide เพื่อแก้ปัญหา อับดับตกใน Google

ไม่นึกว่าจะมาเจอกับตนเอง แม้แต่ค่อยๆ ทำเว็บให้มีคุณภาพ แต่ Google ก็ยังเอาใจยากครับ เอาเป็นว่า มาเช็คก่อนว่า กลุ่ม Keyword ประเภทใด ที่ทำให้ Ranking โดยรวมเราตกอันดับ

การทำ Site Url Prefix อาจช่วยเรื่อง การแกว่งของ Rank ใน WMT ได้บ้าง

อันที่จริง เอาเวลาไปสอนคนอื่นให้ทำเรื่องดีๆ แต่ไม่มีเวลาดูแล เนื้อหา และคุณภาพเว็บของตนเองจนพังไปเลย และลืมไปว่า พอเราไปเช็ค index พบว่า มี Index ขยะจำนวนมากๆ เข้า ทำให้เรา เละเลย โดยเฉพาะ เรื่องที่ให้อภัยตนเองไม่ได้ คือการละเลยการทำ Prefix ให้สะอาด (Clean) ที่สุด
ในเมื่อ Google Search Engine ตั้งแต่ปี 2014 ได้ประกาศมาชัดแล้ว ว่าจะจัดการ Low Quality Page โดยเฉพาะ Thin Content ให้เละคา Search ไอ้เราก็นึกว่าแค่ขู่ๆ แต่หารู้ไม่ว่า การลืมปรับ Prefix บวกกับการใช้ยาแรง โดยความนิสัยเสีย ที่เรามักชอบใช้ Tag WordPress – ซึ่งมีพี่ๆ ที่จริงใจใน ThaiSeoBoard แอบบอกมาบ่อยๆแล้วว่าให้ระวัง WordPress Tag.

ไอ้ความจริงก็ใช้ได้ครับ ถ้าเราทำเนื้อหา สม่ำเสมอ และ content บริบทความ มี Journalist มาเขียน Support จนเว็บเป็นสุดยอด Dynamic content ไอ้แบบนี้ใช้ไปเถิด การปั๊ม Tag มามากๆ เหมาะสำหรับ เว็บ 2 ประเภทครับ

A) เว็บไซต์ ที่มีโครงสร้าง site ที่ scope แคบมากๆจริงๆ เขียนแบบแนวเดิมๆ แก้ปัญหาเดิมๆ เพื่อระบุว่า ฉันมาขายกล้วยปิ้งรส วนิลา และฉันจะไม่ขาย นาฬิกาทราย สีชมพู อะไรแบบนั้น การตี scope แคบมากๆ จะทำให้เว็บคุณทำอันดับได้ง่าย และเก็บ Long-Tail ได้เร็วด้วย ถ้าทำเป็นนะ ส่วนใหญ่ พวก บล็อกเกอร์ (ไม่ใช่ บล็อกเก้อ แบบผม อิอิ) พวก Blogger พวกนี้ จะเป็นพวกเขียน เพ้อไปเรื่อยๆ อย่างเช่น Reviews Gadget ต่างๆ ที่มี Technical Term มากๆ อันนี้ผมแนะนำให้ใช้ Tag ได้เลย ยิง scope แคบๆ ไปเรื่อยๆ แล้ว ขยายตาม Traffic แบบนี้ปั้นแค่ครึ่งปี traffic ก็หลัก หมื่นต่อวัน โดยไม่ต้องใช้ Backlink มากมายอะไรแล้วครับ — ศาสตร์ของ ธรรมชาติ และ Organic ล้วนๆ
B) เว็บไซต์ ที่มีโครงสร้าง ที่ซับซ้อนมากๆ ลึกมากๆ และ อับเดท เนื้อหา ถี่มากๆ อันนี้แนะนำ Tag เลยครับ Google มองว่า เว็บใด Update ความเคลื่อนไหว ได้ทุกๆ 15 นาที จะมีโอกาส ติด index ได้แบบ real-time โดย Text Input นั้น ต้องเป็น Text ธรรมชาติ และไม่มี Link ออกจำนวนมากต่อโพส ( ใครไปทำ Auto-post ใน SMF ก็ระวังตัวเอาไว้ครับ ใครไม่โดนไม่รู้ว่าเสียค่าโง่ไปมากๆ โง่กว่าทำ PBN อีกครับ ) เว็บพวกนี้ ได้แก่เว็บข่าว หรือเว็บ update เร็วๆ เช่นเว็บ forum, discussion ที่ user มาตั้งกระทู้เองได้บ่อยๆ หรือ เป็นพวกเว็บ E-Commerce ขนาดใหญ่ๆ ที่มีจำนวน Category มากๆ และมีการแกว่งของ Impression ปริมาณสูงๆ ** ไม่ควรใช้การ Scrape title หรือ content มาใช้กับ web จำพวกนี้เด็ดขาด Google จับตายเร็วมาก ใครนิยม โกย Ads หรือ กินค่า Impression จากการขาย Banner ก็ไม่แนะนำให้ใช้แนวทางการปั่น Index จากการใส่ input ที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมา เพราะมันจะกลายเป็น Low Quality site โดยทันที เมื่อเกิดสภาพนั้นแล้ว ก็ต้องมา ฟื้นตัวกันยาวๆเลยครับ ส่วนเว็บที่มีโครงสร้างหนักๆ และไม่มี Link ออกเป็นปริมาณมากๆ อันนี้ใส่ Tag เป็น Exact Keyword หรือเป็น Search Query Parameter ได้เลย Google ไม่ว่าอะไรมาก ที่เห็นบ่อยๆ ก็ Amazon และ Lazada โดยตั้งนานๆ แล้วเคยอั้บเดท บทความลงเว็บ เขียนเกี่ยวกับ การทำ โครงสร้าง site navigation ของ E-Commerce ได้ครั้งหนึ่ง ลองไปอ่านกันได้ครับ

การทำ Site Prefix และ Site Structure สำหรับ Re-ranking ให้ดียิ่งขึ้น

ก่อนหน้านั้น ได้เขียนบทความ เกี่ยวกับการออกแบบ โครงสร้างเว็บไซต์ แบบ E-commerce ในแนว Lazada ลงไป อันนี้ มีการใส่ ค่า Prefix ลงไปใน URL เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ

เมื่อทำเว็บไปสักระยะ เรามักอาจจะไม่พอใจกับผลงานของ Impression กระกลายเป็นมังกรหัวกระดก ดิ่งตัวลง (กราฟ Impression) เนื่องจากข้อจำกัดหลายๆอย่างของ Theme WordPress ที่เราอาจพบเจอโดยบังเอิญ โดย Theme ของ Search Monopoly ที่ผมใช้ ก็ถือว่าเป็น Theme Magazine ที่หนักเอาเรื่อง ลองเข้าไปยลโฉม HTML ได้เลย แล้วเทพๆ อย่างพวกท่านที่มาแอบส่องก็จะส่ายหน้า (ยิ้ม  )
ข้อจำกัดของผมในฐานะที่ไม่ได้เป็น Programmer กับเขา เขียนโค๊ดเอง ไม่ได้ตามใจ ดั่งใจ ลองหัดก็ไม่มีเวลา และอยากได้ Theme ขับสีดำ เพื่ออัตลักษณ์ ของความลึกลับ และ การปล่อยของที่ได้มาแบบลับๆ ในระบบ War Room ทำให้เรา เลือกคุณลักษณะของผู้ใช้งาน โดยการกำหนดสีของ Theme อันนี้ไว้แล้ว ถ้ามีเวลา มีเงินทุนดีๆ ก็อยากจะจ้าง Front-End มาช่วยงานเหมือนกันครับ

เมื่อเรา ทำ Index URL ไปได้สักพักหนึ่ง ราวๆ 500 URLS เราจะเริ่มพบว่า WordPress จะเริ่มส่งผล Negative แบบแกว่งๆ ซึ่งต่างจากพวก Opencart หรือ CMS ตัวอื่นๆ ด้วยระบบที่มันทำมาเพื่อให้คนเขียน BLOGเป็นหลัก และการ เลือก Theme ของเรา ต้องทำให้ site มันมีโรงสร้างแน่นๆ และ content ดีๆ มันจึงจะไปรุ่ง แต่ตอนนี้ อาการก็ร่อแร่เต็มประดา เพราะ ต้องเอาเวลากว่า 85% ของชีวิต ไปทำงานให้ลูกค้าเสียหมด และไปเตรียม Class War Room ให้วันหยุด เว็บเราเลยฝุ่นเกาะสนิมขึ้น แถมไม่น่าใช้งานแบบที่เราหวังไว้แต่แรก
เมื่อ Index Thin Content เป็น category หรือ site nav. ดันอยู่ด้านบน ทีนี้ทางผมเองต้องตบมันลงไปไว้ในๆ และ drop priority ออกเสียก่อน จนกว่าจะได้ content ที่มีความสมบูรณ์ มายิ่งขึ้น ความจริงไอ้สิ่งที่คิด มันดันไม่ออกมาแบบที่คิดไว้ตอนต้น เนี่ยแหละครับ ความสนุกของการทำ SEO ทำไปแก้ไป วุ่นๆเรื่อยๆ แถมต้องมา check  User Journeys อีกหลายๆแหล่ง เพื่อให้เกิด Leads ที่มีคุณภาพ แบบว่าดูแล 1 เว็บ ต้องรู้เกือบทุกอย่าง เอาเป็นว่าผมจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไม่พร้อมแบบนี้อย่างไร

ขั้นนี้ก็มาเริ่มการทำ Prefix ได้เลย

  • 1. ให้ใช้ Spider tool ทำการ Measure ค่า URL ของเรา และ test index .
  • 2. กลับไป check ใน Web master tool บ่อยๆ ด้วยครับ
  • 3. อันนี้ผมจะสอนใน class the war room ในการคำนวณ threshold ของ impression ที่ต้องลุ้น และ พวก site usages ต่างๆ ที่ต้องกังวล
  • 4. ให้ filter ตัวที่มีปัญหา ออกมาทำการ 301 Redirections
  • 5. สร้าง Silo Page หรือ Main Category เสียใหม่
  • 6. ปรับ Flow Journey ให้ดีมากยิ่งขึ้น
  • 7. ถ้าทำ target ได้ ให้ใช้ Google AdWords ทำ Test Quality หรือ AdRank ไปด้วยครับ
  • 8. เริ่มโปรโมตใหม่ และ ทำ Social Signal ไปด้วย
  • 9. การกำหนด Prefix ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณ ทำเองมือใหม่ ระวังแป้กครับ
  • 10. จัดทำ sitemap ตาม prefix ที่สร้างขึ้นใหม่ แล้วไปยื่นอุทธรณ์กับ พี่ Google Search Engine กันเอาครับ
  • 11. มีวิธี Boost Impression ที่แนบเนียน ไว้ขอสอนในระบบ War Room และ คลาส The Pyramid ไม่ขอเปิดเผยที่ บทความนี้ครับ (ความลับ – ปกปิด)

การ ออกแบบ Prefix ต้อง พิจารณาจากอะไรบ้างหล่ะ ??

ถ้าไม่เคยทำ ให้ลองคิดถึง sitemap – การทำ area long tails keywords แล้วแตกบริบท อันนี้ต้องทำ Test ไปเรื่อยๆ แล้ว revamp URLs ไปสักพัก เราจะพอจับทางได้เอง
เทคนิคเก่าๆ อมตะของ SEO ก็คือ ผลิต Text Input ที่ useful ป้อนเข้าไปในระบบ แล้วอย่าลืมประเด็นการ re-design Internal link นะครับ แนะนำให้ใช้ Screaming Frog เป็นตัวช่วยทำ Prio. Score แล้ววัด Impacts 90 days.
ถ้าหัวมังกร กระดกขึ้น แบบ ขั้นบันใดอีกรอบ ก็ผ่านไปได้ด้วยดีครับ ของแบบนี้ ทำไม่ยาก ต้องคิดออกมาแบบ ลึกๆรัวๆ เช็คว่า Flow วิ่งไปตายที่ใด อ้อเกือบลืม เรื่องสุดท้าย ระวังพวก Next || Previous Pages ไอ้เมนูนี้ ไม่เหมาะกับ Information site ครับ ทำ Hierarchy flow ลงมาแบบเนียนๆ จะดีกว่า ไม่มีใครอยากอ่านบทความทีละ 30 บทความหรอกครับ

“Content is King” คืออะไร ในแบบฉบับ Search Monopoly

Content is King – ทำอย่างไร ให้ชนะตลาดออนไลน์


Content is King มักถูกนักการตลาดเอามากล่าวอ้างอยู่เสมอ แต่ผู้ทำ เนื้อหา ให้เป็นราชานั้น ทำอย่างยากลำบาก ไม่ได้ทำขึ้นมาได้ง่ายๆ
การทำเนื้อหา ถ้าทำไม่ถูกหลักการ ก็กลายเป็น A Dog Shit หรือ Content is NOT King ก็เป็นได้ ถ้าไม่เข้าใจหลักการทำ เนื้อหาเชิงโครงสร้างที่ดี

Content is King ต้องมีโครงสร้างที่ดี

Content is King ต้องตามหลักถูกต้องของการทำ SEO

Content is King ต้องมี DATA Structure ที่ดีเช่นกัน

Content is King ต้องมี เนื้อหาเชิงลึกที่ละเอียดกว่า


แนะนำ ลองอ่านบทความ เกี่ยวกับ zipf’s law
เว็บที่ไม่ได้มีการตลาดที่หวือหวา ก็สามารถทำเงินล้านได้ ไม่ต้อง Motivation ให้มากความ ชัยชนะอยู่ที่การให้ข้อมูลที่ละเอียดกว่าคู่แข่ง

Content is King สุดท้ายคือ Usability ของผู้ใช้งาน

จ้างทำ SEO แล้ว อันดับตก ?

ยุ่งเลยหากคุณคิดทำ SEO เพื่อทำอับดันบน Google สูงๆ แต่ดันอันดับตกลง !

ผู้ประกอบการ มีแต่ความรีบเร่ง เพราะคาดหวังเพื่อการทำอันดับเร็วๆ

ผู้ประกอบการ ไม่เข้าใจว่า การรีบทำอันดับ ทางการทำ SEO คือกระบวนการเร่งกรอกยาพิษเข้าสู่เว็บไซต์ของตนเอง

การกรอกยาพิษร้ายน้ำ ทำให้ ธุรกิจของคุณหายไปจากระบบ การตลาดออนไลน์อย่างถาวร

เมื่อท่านผู้ประกอบการ ได้ใช้บริการ SEO ที่ทำอันดับแบบเร็วๆ ที่เห็นผลภายใน 3 – 6 เดือน ท่านอาจจะได้รับ ระเบิดเวลาสำหรับอนาคต

ผมได้เขียน บทความ เกี่ยวกับการทำ SEO แบบเน้นคุณภาพ ที่ต้อง อาศัยระยะเวลานาน ในการทำให้ติดอันดับ ลองเข้ามาศึกษา จากประสบการณ์ตรงของผม ได้ที่นี่ครับ > การทำ SEO เสมือนการ บ่มไวน์ เก่าๆ คุณภาพดีๆ แล้วผลลัพธ์ จะดีเอง

เข้าใจการปรับแต่ง ABOVE – BELOW the Fold เพื่อผล SERP

การเปลี่ยนแปลง อัตตราส่วน ใน Area Above the Fold ของ Google SERP.

Source: https://think.storage.googleapis.com/docs/4-new-moments-every-marketer-should-know.pdf

บทความนี้ ได้รับการแปลจากบทความของคุณ “Jim Yu” ที่เขียนและตีพิมพิ์ใน SearchEngineWatch 06 OCT 2016 > https://goo.gl/lSpD0M

บทความนี้ ก่อนจะแปลออกมา เมื่ออ่านหัวข้อ ผมขอใช้ BIAS ส่วนตัวในการเดาเรื่อง ABOVE THE FOLD. ก่อนนะครับ

สรุปคร่าวๆจากประสบการณ์ตรงที่เคย ทำ WEB PORTAL ขนาดใหญ่ และเห็น LINKS มูลค่า 2พันล้านบาทไทยมาแล้ว (Accumulated Budget) มันตัดกันที่ CODE จริงๆครับ และวัดที่ “ABOVE THE FOLD” โดยผมคิดเห็นสิ่งนี้ครับ

  • ความเป็น Dynamic.
  • ความเป็น Dynamic ที่ Follow Trend
  • การ Concern เรื่อง Trending Keyword

หลักการคิดง่ายๆ ไม่ต้องปวดหัวเลย อันนี้ (BIAS) เดาใจคนพัฒนา User Experience ของการทำเว็บ
เว็บที่มีความเป็น Dynamic มากๆ
ผมสังเกตเว็บแนวเทาๆ จะใช้เทคนิค การทำ Feed Update จาก User Content (Content 2.0) เข้ามาทำให้เว็บติดอันดับโดยไม่ต้องใช้ BACKLINK ปั้นจำนวนมากเลย

และประสบการณ์โดยตรง WEB FORUM หรือ PORTAL ที่ FEED ข่าวได้ตรงกลุ่ม และ Internal ดีๆ (เน้นทำ ONPAGE+SITE STR.) และโฟกัสที่ “ABOVE THE FOLD” เป็นสำคัญ เหมือน เสี้ยวของเงินล้าน จะอยู่ที่จุดนี้จริงๆ

ฉนั้น DATA HIGHLIGHTER ต้องค่อยๆพัฒนาและลงทุนตรง “ABOVE THE FOLD” สำหรับเว็บที่อยาก DOMINATION ตลาดนะครับ
“ABOVE THE FOLD” SEO ผมขอแนะนำสำหรับเว็บขนาดใหญ่ ที่มี Dynamic Content จริงๆ จะไม่เปลืองพลังมาก

 


Jim Yu — Google SERPs ยังคงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเพื่อ End-User สำหรับการสร้าง Brand ให้ประสบความสำเร็จ และดึงดูด Organic Traffic. เราจำเป็นต้องดำเนินการปรับแต่งอยู่เสมอ

เมื่อพิจารณาผลการวิจัยของเราโดยใช้ “BrightEdge” (เครื่องมือ Keyword tool ของ SEO) ได้แสดงให้เห็นว่า มีการประมาณไว้ 51% ของ Traffic ที่เข้ามาทาง Organic ส่วนการเปลี่ยนแปลงใน การแสดงผลใน Search Engine ได้ทำให้ แบรนด์ต่างๆ ต้องให้ความสำคัญตรงนี้มากๆ

ตำแหน่งของการแสดงผลลัพธ์ในการจัดอันดับ (SERP) จะได้รับผลกระทบถึงจำนวนของยอด Clicks ที่เราได้รับเข้ามาใน Website

อะไรที่ทำให้ลูกค้าเข้ามาในเว็บเรา แล้วต้องการมองเห็น เมื่อเขาได้ค้นหาในสิ่งที่ เฉพาะเจาะจงมากๆ นั่นแหละที่จะมีอิทธิพลในตอนที่เขา Click และพิมพิ์ผลการค้นหา ที่เขาได้ต้องการจริงๆ

Google ได้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น และเข้าใจมนุษย์มากยิ่งขึ้น และสามารถพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นอีกมาก

ความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา เราได้เห็นแล้วในการแสดงผลในการจัดอันดับ

Google ได้ดึงดูด ความสนใจ จากการเปลี่ยนแปลงอันนี้ ที่กล่าวไว้ข้างต้น (SERP) ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เมื่อ Google ได้ Remove โฆษณาออกไปจาก การแสดงผลทางด้านข้าง (Side Bar) และเพิ่มพื้นที่ของ โฆษณา ทางด้านบนของผล Organic ที่เราค้นหา แบรนด์อะไรที่เราต้องการจ่าย หรือ ให้ความสนใจ จะได้รับความสนใจอย่างเป็นพิเศษจาก Google เช่นกัน

 

LOGO Search Monopoly size 45px ทัศนะ SEARCH MONOPOLY — เราได้มีมุมมอง คล้อยตามสิ่งที่ Jim Yu นักการตลาดท่านนี้กล่าวไว้ ในเรื่องของ 51% ของ Traffic มาจาก Organic อันที่จริง มันมีเหตุผลของมันที่ทำไม การค้นหา แบบ PPC ทำได้ยากกว่า , เขาได้อธิบายชัดเจนแล้วว่า คนเรามักค้นหา keyword ใน Google ด้วยคำต่างๆ จำนวนมาก เราจึงหลีกหนีการทำ SEO และการพัฒนา การค้นหาให้หลากหลายมากมายแบบไม่มีที่สิ้นสุด

 

above-the-fold-ctr

Source: http://www.brightedge.com/sites/default/files/BrightEdge-Research-Demystifying-Google-SERP-Layout-Changes-2016_0.pdf

 

Jim Yu — เราได้เห็นสัญญาณในปีนี้ Google ได้อธิบาย การค้นหานั้นๆ ในรูปแบบ สัญญาที่ระบุได้ถึงความต้องการนั้นๆ นั่นหมายถึงว่า ทำไมเวลาที่เราค้นหาแบบวลียาวๆ เราจะได้ภาพของ Keyword นั้นๆ หรือ อาจจะแสดงผลเป็นสถานที่ 3 ที่ เป็นต้น

ช่วงเวลาเล็กๆ — ระดับไมโคร

ที่ผ่านมาเร็วๆนี้ Google ได้วาดภาพการให้ความสนใจของเรา โดยมีไอเดีย แบบช่วงเวลา ณ ขณะใดขณะหนึ่ง (Micro – Moments)

Micro-moments ได้มีขึ้น เมื่อผู้คนต่างเริ่มที่จะเปลี่ยนการใช้งานมาเป็น Device อื่นๆที่หลากหลายอย่างเช่น Smart Phone เพื่อที่จะค้นหาสิ่งที่ต้องการ หรือเรียนรู้อะไรบางอย่าง หรือทำอะไรบางอย่าง หรือพยายามที่จะค้นหาสิ่งๆหนึ่ง หรือดูคลิป Online หรือการซื้อของออนไลน์

พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง และเมื่อการตัดสินใจเกิดขึ้นในขณะนั้น และรูปแบบการแสดงผลได้ถูกออกแบบมาเฉพาะเจาะจง นี่แหละที่เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ Google

มันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่จะมองเห็นมันเปลี่ยนไป มากกว่าที่จะ มานั่งดูพวก Check List ซึ่งเป็นโลกทัศน์ใหม่ของพื้นที่ของการแสดงผล (SERP) และการปรับแต่ง Keywords

แบรนด์ ได้ทำการเรียนรู้ที่จะนำมาจัดการ เพื่อโฟกัสผลการจัดอันดับให้ดียิ่งขึ้น เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยนำเอา Micro-Moments เหล่านี้ เข้ามาใส่ในระบบการจัดการ ที่พวกเขาออกแบบในกลยุทธ์เหล่านั้น นี่แหละที่จะสร้าง Traffic คนเข้ามาในเว็บได้ดียิ่งขึ้นไป

ในระบบใหม่นี้ ต้องการให้ แบรนด์เข้าใจ ผู้ใช้งานของเขา เพื่อนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้เว็บไซต์นั้นออกแบบมาตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานที่ดีกว่า

 

ทำอย่างไร เราจึงจะเข้าใจ ผลกระทบของ SERPs ?

Google ได้ทำงานและสร้างผลการจัดอันดับ (SERPs) และได้นำมาจัดเรียงเข้ากับผู้ใช้งาน ในเรื่องของส่วนสำคัญที่ผ่านมานั้น Micro Mometns ได้นำเอากระบวนการอันนี้ไปใช้งาน

Google ได้โฟกัส รูปแบบอยู่ 4 รุปแบบ ของ Micro-Moments ที่แบรนด์ต่างๆ ควรเข้าใจและคุ้นชินเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จดังนี้

  • 1. ฉันต้องการที่จะซื้อเดี๋ยวนี้
  • 2. ฉันต้องการที่จะรู้เดี๋ยวนี้
  • 3. ฉันต้องการที่จะไปเดี๋ยวนี้
  • 4. ฉันต้องการที่จะทำอะไรเดี๋ยวนี้

Google ได้ทำงานเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาเห็น และ พิมพิ์การค้นหาเหล่านั้น แล้วคำค้นเหล่านั้นตรงจุดที่อยู่ใน 4 กลุ่มที่กล่าวมา
การค้นหานั้น ได้แสดงสิ่งที่แปลกออกไป นำมารวมกันเป็นชุดการแสดงผลในรูปแบบ อย่างเช่น แผนที่ตั้ง , Ads PPC , ผลการค้นหาแบบ Organic และ รูปภาพ

Google ได้แนะนำนวตกรรมใหม่ที่เรียกว่า AMP Pages คือการโหลดหน้ามือถือแบบใหม่ที่ช่วยให้ ผู้ใช้งานได้คำตอบอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไปไหนมาไหนนั่นเอง การดันสิ่งใหม่นี้ ให้กลายเป็น Markup สำหรับหน้าเพจ สำหรับ AMP ได้จัดการของ Google ให้พัฒนา สิ่งที่ ฉันต้องการ ในส่วนของประสบการณ์ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง

 

above-the-fold-2

พวกเขาได้ทำการทดลอง ในผลที่แตกต่างกัน เช่น Rich Card และ Answer Box ที่ด้านบนสุดของสิ่งที่ค้นหา
สูตรปรุงอาหาร — ตัวอย่างเช่น “สิ่งที่ฉันอยากรู้” อันไหน ในขณะนั้น ที่จะทำการ แสดงผลให้กับ Answer Box พร้อมไปกับสูตรปรุงอาหาร และภาพตัวอย่าง บนด้านบนการแสดงผลลัพธ์การค้นหา

Brand จะเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างไรให้เป็นที่สนใจของ SERP ?

1. เรียนรู้ ในช่วงเวลาต่างๆของผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้น
แบรนด์ จำเป็นที่จะต้อง เข้าใจและคุ้นชินกับสิ่งที่ผู้คนเขาชอบที่จะดู เมื่อเขามีความต้องการอย่างสูงในช่วงเวลานั้น ให้เข้าไปดูที่ ข้อมูลของลูกค้า เฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลของการใช้งาน Mobile ของผู้ใช้งานและนั่นคืออะไรที่ลูกค้าและผู้ชมเข้ามาสู่เว็บไซต์ของคุณ และดูชนิดของผู้ใช้งานที่เข้ามาซื้อ และดูว่า เนื้อหาชนิดใดที่ทำได้สำเร็จที่สุด

ให้ขึ้นอยู่กับชนิดของ Micro Moments เหล่านั้น ที่จะนำพาธุรกิจของคุณเข้าไปในสถานะการณ์ต่างๆ เช่นเราจะโฟกัสตรงจุดที่ “ลูกค้าอยากจะซื้อ ณ ขณะนั้น” และเขาต้องการที่จะไป ณ ขณะนั้นเลย หากที่นั่นได้มี ร้านค้าแบบ “brick-and-mortar” ในรายการค้นหา และอาจแสดงผล วิธีการที่จะเดินทางเข้าไปสู่จุดนั้น มันได้รับความนิยมและน่าสนใจมากขึ้น ในเรื่องของการค้นหาที่แตกต่างกันเช่น

  • “ไอเดียการสร้างห้องนอน” หรือ “วิธีการตกแต่งห้องนอน”

Google จะทราบได้ทันที่ว่า “ไอเดียการสร้างห้องนอน” เป็นสิ่งที่ ผู้ใช้งานอยากจะเรียนรู้ในขณะนั้น มันอาจจะแสดงผลการค้นหาด้วยภาพเข้ามาใน SERP มากกว่า และเมื่อคำค้นที่เป็น “วิธีการตกแต่งห้องนอน” อย่างนี้ Google เลือกที่จะแสดง Ads ขึ้นมาด้วยที่ตำแหน่งด้านบนสุด เพราะว่าอาจเป็นเรื่องที่ผู้ค้นหาต้องการซื้อ เฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งบ้าน

สำหรับเว็บไซต์ ที่จะสร้าง ฟังค์ชั่นเกี่ยวกับ การโฟกัสบน SERP เขาจำเป็นต้องทำในรูปแบบการตลาดแบบ Hybrid ผู้ที่ทำ PPC และ SEO ต้องการที่จะทำร่วมกัน ด้วยการสร้างช่องทางออนไลน์ ที่จะแสดงผลทั้งแบบ Above และ Below the Fold เราจะสามารถนำเวลาที่ถูกต้อง เพื่อพัฒนารูปแบบต่างๆของเนื้อหา เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามันจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ไปพบกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการได้จริงๆ

 

2. สร้าง List ของคำค้นหา ที่อยู่ตรงกลาง เพื่อเข้าใจสิ่งที่ลูกค้ากำลังสนใจ

Keyword เหล่านี้ ควรถูกคัดเลือกเข้ามาอย่างระมัดระวัง การวิจัย Keyword นั้นเป็นเรื่องที่ทำให้คุณได้เปิดเผยและค้นพบคำค้นหาต่างๆ ที่ได้รับความนิยม นั่นจะได้รับการใช้งานจากผู้ใช้งาน บนเส้นทางของผู้ซื้อได้

เมื่อพิจารณา Micro-Moments มันจะส่งผลกระทบไปสู่เว็บไซต์ของคุณอย่างเห็นได้ชัด (แรงมากๆ) ในช่วงเวลาหลายๆช่วง ของเส้นทางที่เข้ามาค้นพบ
ตัวอย่างเช่น — ในช่วงเวลาเริ่มต้น ผู้ใช้งานจะเข้ามาเรียนรู้ ขณะที่ตอนจบของ การเดินทางมายังจุดที่ เขาต้องการจะซื้อ ของ Micro-Moment

 

3. ให้สืบหา สิ่งที่ทำให้การแสดงผลจากการทำอันดับ ใน Keyword ของคุณที่อยู่ใน Above the Fold

ดูว่า การแสดงผล 3 Location หรือแผนที่มันแสดงผลด้วย และลองนับดูว่ามี โฆษณาขึ้นแสดงผล และ ผลของ Organic นั้นปรากฏ ที่ง่ายที่สุด มันจะถูกพัฒนาอยู่ตรงเป้าหมาย ของกลยุทธ์ออนไลน์

4. ปรับแต่งเนื้อหาของคุณ จาก Layout ที่ปรากฏบน SERP อยู่เสมอ

ขณะที่เนื้อหาทั้งหมด มันสมควรเข้าไปอยู่ในรูปแบบ SEO Optimization (การปรับแต่งทาง SEO) เพื่อเพิ่มเป้าหมายทางผลทางการจัดอันดับทาง Organic คุณมีควมจำเป็นจะต้องค้นหา โอกาสต่างๆเพื่อที่จะซื้อ โฆษณาบนหัวผลการค้นหาของ Organic เหล่านั้น พร้อมทั้งการทำผลการปรับแต่งเพื่อแสดงผลตอบกลับอย่างรวดเร็ว อาทิ Google Local และ ภาพ

เมื่อได้ทำให้ชัดเจน ว่าคุณได้ทำการปรับแต่งเนื้อหาอย่างถูกต้องแล้ว คุณจะสามารถมั่นใจได้ว่า มันจะทำอันดับได้ดีอย่างเป็นไปได้มากที่สุด ขณะที่การแสดงผลให้กับผู้เข้าชมได้ทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ในขณะนั้น

5. ให้นำผู้เชี่ยวชาญทางด้าน SEO และ PPC เข้ามาด้วยกัน

ด้วยความต้องการอย่างมากในเรื่องของการปรับแต่งสำหรับ SERP ทั้งหมด ตรงจุด Above the Fold นั้น Brand ของคุณจำเป็นต้องนำแผนกต่างๆของ Online Marketing เข้าไว้ด้วยกัน มันจะสามารถทำงานร่วมกันได้ และทำความเข้าใจผู้ใช้งานที่กำลังค้นหาอยู่ในระหว่างที่ช่วง Micro-Moments ได้พบกับสิ่งที่ลูกค้านั้นดำเนินและเป็นอยู่

Google ได้ทำอย่างต่อเนื่องในการปรับค่า SERP เพื่อให้จัดเรียงผลของการแสดงทางด้านการตลาด พวกเขาต้องการให้เว็บไซต์ ขึ้นติดอันดับตามความต้องการของลูกค้า ในช่วงเวลานั้นจริงๆ นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องทำ และได้รับผลที่ดีเกินคาดจาก Google SERP

จงระวัง การวิเคราะห์เรื่องของ Micro-Moments และหนึ่งในนั้นได้ประยุกต์อยู่บนลูกค้าของพวกเขา แบรนด์ต่างๆ สามารถเริ่มที่จะพัฒนาปละปรับแต่งส่วนประกอบต่างๆเพื่อให้ผู้เข้าชมเว็บต้องการ และประสบความสำเร็จอย่างสูงจากหน้าผลการค้นหา

Penguin 4.0: มุมมองการสร้าง Links ในยุคต่อไป หลังปี 2016

ถ้าลิงค์ ไม่มีคุณภาพที่ดีพอ อย่าไปเสียเวลาในการทำเลย มาเรียนรู้ Penguin 4.0 Update กัน

[Credit รูปภาพ : searchenginewatch.com]

บทความนี้ได้รับการแปล และสรุปให้เข้าใจง่ายๆ จากบทความของ คุณ "Cory Collins" ณ 7 Oct 2016 https://goo.gl/BGbYVZ
เขาเขียนในฐานะของ นักการตลาด เกี่ยวกับ "Penguin 4.0" ในขอบเขตของการสร้าง LINK จากเอเจนซี่

เขากล่าวว่า นี่คือ Information ที่สำคัญ สำหรับการทำ SEO ในช่วงหลังปี 2016

Cory Collins -- เจ้าตัว "Penguin" นี่แหละเป็นตัวที่ลดคุณค่า แทนที่จะ ลดการทำอันดับของตัว SITE นั้นๆ ซึ่งจะเป็นกระบวนการอันสำคัญ ในการคิดคำนวณ ความสัมพันธ์กับ Google ได้ดีกว่า สำหรับนักการตลาด และ เจ้าของเว็บไซต์

LOGO Search Monopoly size 45px ทัศนะของ SEARCH MONOPOLY - ทางเราได้ตระหนักแล้วว่า "Penguin 4.0" นั้น คือการคำนวณ ความน่าเชื่อถือของ BACKLINK ในการทำ SEO และเป็นตัวลด VALUE ของ LINK NETWORK ของการทำ SEO มานานแล้ว เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ ทำไม การพัฒนา BACKLINK ในประเทศไทย จากสำนักรับทำ SEO ต่างๆ จึงไม่ยั่งยืน เพราะ ส่วนใหญ่ จะทำ NETWORK ที่ไม่มีความ Dynamic (หมายถึง BACKLINK ที่ไม่ได้มีโอกาสโตได้ด้วยตัวมันเอง) แต่ดันไปเพิ่ม SEO TEXT ที่ด้อยคุณภาพ ไม่ใช่ TEXT ที่สร้างมาเพื่อเป็น Article หรือ Unique Content ที่มีมูลค่าทางการตลาดจริงๆ พูดง่ายๆ คือการ SPAM Backlink ให้เกิด Link Popularity จำนวนมากๆ ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ

Cory Collins -- เขานั้นไม่เชื่อว่า การลดคะแนน พวก SPAM จะทำให้ รูปแบบการทำ SEO แบบ GREY HAT และ BLACK HAT นั้น ใช้ได้ดี และ สำเร็จผล (viable) เนื่องจากการหลอกลวง SEARCH ENGINE จะยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก ดังนั้นเองการโฟกัส "GOOD LINKS" จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ในระดับ "คริติคั่ล"

LOGO Search Monopoly size 45px ทัศนะของ SEARCH MONOPOLY - เราสอนให้ผู้ประกอบการ SME ทำ LINK แบบคุณภาพ และ ธรรมชาติ อยู่แล้ว และเราไม่มีกระบวนการทำ SPAM LINK หรือทำ PBN (Private Backlink Network) โดยเด็ดขาด

ทั้งนี้ ยังมีข้อโต้แย้งสำหรับกลุ่มที่ยังทำ PBN อยู่มาก เพราะบาง PBN ยังคงมีความสามารถหลบเลี่ยง การตรวจสอบของ Google Algorithm ได้เป็นอย่างดี
แต่ผู้ที่ โดนคู่แข่งแซงอันดับ เราสามารถตรวจสอบ การ SPAM BACKLINK NETWORK ที่ด้อยคุณภาพและ ส่ง จดหมาย หรือ Report Spam ไปได้ที่ Google INC. โดยตรง

Cory Collins -- "Penguin 4.0" ได้ทำการโจมตีกลับ ในพวกที่ทำ Negative SEO ได้อีกด้วย อีกทั้งยุคของ "เพนกวิ้น" ได้เข้ามาใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี Links ยังเป็นเรื่องสำคัญสำหรับ Google’s algorithm และ "Penguin 4.0" ได้เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม

LOGO Search Monopoly size 45px ทัศนะของ SEARCH MONOPOLY - การสร้างลิ้งค์ เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องรู้เทคนิคการทำ BACKLINK ในรูปแบบที่ CLEAN ที่สุด และ LINK ที่ขาวสะอาด มักแลกด้วยการกระทำที่มีมูลค่าและต้นทุนที่สูงมาก โปรดระวัง หากผู้ประกอบการ ยังคงซื้อ LINK จาก บริษัทรับทำ SEO ที่ไม่น่าเชื่อถือ จะทำให้ธุรกิจของคุณไม่เติบโต และไม่มีความยั่งยืนในการพัฒนาธุรกิจ


 

Penguin ลดคุณค่า หรือคะแนนของ SPAM LINK มากกว่าการทำโทษตัว SITE ที่จะทำอันดับให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้น
Google ทำโทษ SPAM แต่ในความเห็นของเขา กลับมองว่า ไม่เห็นด้วยที่จะนำการลด คุณค่าของ Link เหล่านั้นเข้ามาอยู่ในสมการ
Google อาจไม่ได้เรียก "ลำดับชั้นของการทำโทษ" แต่จะทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่แย่ระหว่างตัว Google กับ นักการตลาด - นัก SEO - เจ้าของธุรกิจ และ เจ้าของเว็บ

และจะเป็นเรื่องที่ทำให้สับสน สำหรับข้อมูลในการแก้ไข ที่ไม่ชัดเจนอยู่รายรอบ เว็บไซต์ที่โดนผลอันนี้ และเราจะไม่สามารถทราบได้เลยว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้

Google ไม่ต้องการผลลัพธ์ที่ตอบสนองมาจากการ SPAM ขึ้นมาอยู่ในหน้าการแสดงผล
อันนี้เป็นความเห็นของ "Danny Sullivan" ปี 2014 ที่สรุปมาได้เป็นอย่างดี

Danny’s right:

Google ไม่สามารถ ใช้นโยบาย "zero tolerance policy" เกี่ยวกับ LINKS ได้ หรือไม่ก็ต่อเมื่อ LINKS ได้รับการพิสูจน์ว่าให้ความสำคัญกับเว็บเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ คำแนะนำของ Google ในทุกๆแห่งที่ได้รับการโปรโมท

ตอนนี้ "Penguin 4.0" ได้รับการนำมาประยุกต์ใน หัวใจหลักของ Algorithm และนี่เป็นจุดเดินที่ดี ที่ถูกทิศทาง
Google ไม่ควรที่จะดูว่า จะพยายามจัดทำให้เว็บนั้น ตรงตามสิ่งที่เป็นไปตาม Algorithm หรือพวกเขาต้อง จัดทำให้ Algorithm นั้นเป็นไปตามเว็บ
Penguin 4.0 จะเป็นตัวที่พัฒนาความสัมพันธ์ ระหว่าง Google กับนักทำ SEO และ เจ้าของเว็บในธุรกิจต่างๆ

 

1) Google ranking engineers and webspam team ยังไม่สามารถค้นหาการตัดสิน การหลอกลวง Google Algorithm ได้อย่างชัดเจน
2) การทำโทษ ด้วยวิธีการ ตรวจสอบด้วยคน ยังคงมีอยู่
สุดท้าย ) เข้าไม่เชื่อว่า มันจะทำได้ง่าย ในการ คาดคะเน จากการส่งตอบสนองของ "PENGUIN" ด้วยเหตุผล 4 อย่าง
A. Real time ไม่สามารถทำได้อย่างคงที่
B. การลดระดับ คุณค่าของ LINKS จะส่งผลกระทบน้อยกว่า การทำลายทิ้ง (ปรับเว็บตกอันดับเลย)
C. Granular ไม่สามารถรับทราบได้รวดเร็วในการตรวจสอบในระดับทั้งเว็บไซต์
D.ดูเหมือนว่า "Penguin 4" เริ่มส่งผลในช่วง September วันที่ 23 - 2016


บทสรุป จาก LOGO Search Monopoly size 45pxSEARCH MONOPOLY
หลังจากอ่าน บทความนี้ทำให้เราเข้าใจยิ่งขึ้นว่า การหลอกลวง ด้วยการพยายามสร้าง LINKS ที่ไม่เป็นธรรมชาติ จะถูก Penguin 4.0 ตรวจจับและลดค่าคะแนนลงไป
ปัญหาที่ตามมา การเปลี่ยนเป็น "Penguin 4.0" ทำให้ยากที่จะตรวจจับ IMPACTS ของการทำ BACKLINK และทำความเข้าใจ การทำ LINKS ในรูปแบบต่างๆ
หากคุณต้องการ การทำให้มองเห็นใน Search Engine คุณก็ควรที่จะใช้เวลาในการสืบค้นหา "REAL VALUE" ของการทำธุรกิจในเว็บไซต์ของคุณ และทำการโปรโมทในทางที่ถูกต้องที่สุด และค้นหา กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกลุ่ม มีการใช้งาน ที่ชัดเจน หรือมีการใช้งานเนื้อหา บทความนั้นจริงๆ ทาง SEARCH MONOPOLY เองก็เล็งเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่าการพัฒนา Content ให้มีปริมาณมาก และ ให้ข้อมูลในเชิงที่ลึกกว่าคู่แข่ง จะส่งผลลัพธ์ ที่ดีกว่าในระยะยาว

การพัฒนาเนื้อหา ให้มีโครงสร้างที่ลึก จะช่วยให้การทำอันดับได้ดี เร็วและง่ายขึ้นมากกว่าการพัฒนาด้วย SPAM LINK ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
โอกาสในการปรับแต่งเว็บ และกลยุทธ์ในการทำงาน กลับกลายจะเป็น Key success หลักที่ทำให้เว็บของคุณค้นหาเจอในหน้า SEARCH ENGINE ได้ดีกว่าคู่แข่ง

ทั้งนี้ ข้อดีมากๆของการมี "Penguin 4.0" ก็คือ ทำให้ การโจมตีของ Negative SEO ของคู่แข่ง ที่ยิง LINK ไร้คุณภาพเข้ามาสู่เว็บของเรา ก็ไม่เป็นผลอีกต่อไป

การสร้าง SEO Url สำหรับ หน้า Category Pages

[Issue] การจัดการ Site Structure สำหรับการทำ SEO ให้แก่ เว็บขนาดใหญ่

SEO Urls สำหรับ Category pages เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการ Boost (เติบโตอย่างฉับพลัน) ของการทำ Organic Traffic

ตัวอย่าง SEO Urls สำหรับ Category Pages
http://ecommerce-site.com/xxx-productsGroup_A.HTML

XXX คือ การระบุว่า URLs ตัวนี้ เป็น Category Page

XXX จะเป็นอะไรก็ได้
เช่น LAZADA จะใช้คำว่า SHOP นำหน้า เช่น

http://www.lazada.co.th/shop-women-bags/
http://www.lazada.co.th/shop-women-bags-top-handle-bags/

เห็นไหมว่า category นี้ มีคำว่า shop-women-bags ซึ่งหมายถึง กลุ่มสินค้า ประเภทกระเป๋าของสตรี

 

การจัดการ อาจจะ ตั้ง XXX เหล่านี้ เพื่อกำหนด Specific criteria สำหรับไว้ใช้ จัดการ site structure และ site hierarchy ซึ่งทำให้ เกิดการตอบสนองกับ Google Search Engine ได้ดีมาก

 

ประโยชน์ สำหรับ ผู้พัฒนา SEO

สามารถ Filter กลุ่ม URL ได้ง่าย ใช้ในการ Optimize Traffic เวลาต้องวัด Outcome หรือ Organic Traffic เพื่อเข้าใจ ความแข็งแรงของ Category ต่างๆ ในเว็บไซต์

 

ทางด้าน Technical Dev.

(โปรดศึกษา เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Robots.txt เพื่อทำความเข้าใจก่อน)
ลองเข้าดูที่ http://amazon.com/robots.txt
Disallow: /gp/richpub/listmania/createpipeline
Disallow: /gp/content-form
Disallow: /gp/pdp/invitation/invite
Disallow: /gp/customer-reviews/common/du
Disallow: /gp/customer-reviews/write-a-review.html
Disallow: /gp/associations/wizard.html
Disallow: /gp/music/clipserve
Disallow: /gp/customer-media/upload
Disallow: /gp/history
Disallow: /gp/item-dispatch
Disallow: /gp/dmusic/order/handle-buy-box.html
Disallow: /gp/recsradio
Disallow: /gp/slredirect
Disallow: /dp/shipping/
Disallow: /dp/twister-update/
Disallow: /dp/manual-submit/
Disallow: /dp/e-mail-friend/
Disallow: /dp/product-availability/
Disallow: /dp/rate-this-item/
Disallow: /gp/registry/wishlist/*/reserve
Disallow: /gp/structured-ratings/actions/get-experience.html

ผมได้ลองเอา URLs บางส่วน ที่ Amazon ทำการ Block ไม่ให้ Search Engine Spider Robot เข้ามาทำการจับไปทำ Index บนหน้า Search Engine Result
การแบ่ง XXX ในหน้า Category page ทำให้ง่ายต่อการ Filter และเข้าใจว่า เนื้อหาของเว็บของเรา นั้นอยู่ตรงไหน

สังเกตว่าของ Amazon เอง จะมี /GP/ กับ /DP/ และบางตัว จะใช้ /PDP/
ถ้าให้เดา คาดว่า

  • GP น่าจะหมายถึง Group Pages
  • DP น่าจะหมายถึง หน้าสินค้า ที่ทำ Rank ที่ดี
  • PDP รู้กันดีในวงการ E-commerce ว่าเป็น Product Pages

 

สรุป เราสามารถ สร้าง Category Page Pattern ในลักษณะไหนก็ได้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน

เช่น

Main Category Pages อาจใช้ /mp-………/

Sub Category LV2 Pages /sp-………/

Sub Category LV3 Pages /sc-………/

 

Specific Page เช่น

เนื้อหา แนะนำการใช้งาน /usage-………/

เนื้อหา แนะนำการซื้อสินค้า  /buyguide-………/

รีวิว สินค้า /reviews-……/

 

 

 

 

ผลการทำ SEO อย่างมีคุณภาพ

ทำให้เว็บมีคนเข้า-เติบโต-ติด-Google-001

โปรดคลิ๊กที่รูป เพื่อดูรายละเอียดชัดๆ

 

การทำ SEO อย่างเป็นธรรมชาติ จะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและการรู้ลึกของการพัฒนาเว็บเชิง DATA Structure ที่ประยุกต์นำความรู้จะ Semantic Technology ที่ Search Engine นิยมนำมาใช้ ซึ่งต่างจากการพัฒนาเว็บทั่วๆไป และ ยิ่งต่างจากการ SPAM เว็บไซต์ ให้ติดอันดับ ด้วยวิธีการปั้น Backlink ที่ไร้คุณภาพ และไม่เป็นธรรมชาติ

ทำให้เว็บมีคนเข้า-เติบโต-ติด-Google-002

พัฒนาคุณภาพ การใช้งานของผุ้ใช้งานในเว็บไซต์ จากการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ พบว่า สิ่งที่ทำการวิจัยมาเกือบปี ให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก และวัดประสิทธิผลของการดำเนินงานได้ชัดเจน

 

Page Load Speed – เพิ่มความแรงของเว็บไซต์

การพัฒนา ทำให้หน้าเพจ (Webpage) ของเรามีความเบา ด้วยการ Optimize Code WordPress เป็นสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆ ก่อนการทำการตลาดออนไลน์เสียอีก

 

เว็บที่หนัก ไม่มีการ Optimize Code มักจะทำอันดับได้ไม่นาน !!!

อันนี้เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ว่าทำไม เราต้อง เสียต้นทุน รายจ่าย การทำโฆษณา ADWORD อย่างสิ้นเปลือง เนื่องจาก การพัฒนาเชิงประสิทธิภาพของการ Coding ในเว็บไซต์ของเรานั้น ยังทำได้ไม่ดีพอ

 

Google Search Engine ต้องการมากกว่า เนื้อหา — Google ต้องการคุณภาพของ WEBPAGE

Google อาจจะเป็นเจ้าของ Technology Search Engine นั้นหมายถึงเขาคุมปริมาณของ Demand ทั้งหมด.

วิธีการมองโลก และการทำ ธุรกิจบนโลกใบนี้ของ Google INC. นั้นอาจมองในมุมกว้างมากกว่า ที่เหล่า SME สามารถเข้าใจได้   GOOGLE จำเป็นต้องลงทุน ทรัพยากรณ์ เป็นจำนวนหลายพันล้านดอลล่าห์ต่อปี เพียงแค่ Maintain ระบบของการจัดอันดับ เว็บไซต์ ที่มีมากกว่า ล้านล้านเว็บไซต์ทั่วทั้งโลกใบนี้

Google ต้องลงทุนเครื่อง Server จำนวนหมื่นๆเครื่องในแต่ละปี เพื่อบำรุงระบบ Search Engine

Page Load Speed 90/100 คะแนน
การทำ webpage ให้เบา Code ต้องดี — Google จะให้คะแนนตรงนี้ เว็บที่ได้คะแนนไม่ดี การจัดอันดับ จะติดอันดับที่ไม่ดี และทำให้คนไม่ค่อยเข้าเว็บ

 

ลองนึกภาพเล่นๆ ถ้าเว็บไร้คุณภาพ ที่ CODE หนักๆ ราคาต้นทุนการพัฒนาถูก (ในไทย พวก Agent หลายๆที่ไม่มีงบประมาณ พัฒนา Code ขนาดเบาๆเหล่านี้) ทำให้ Google ประสบปัญหาเป็นอย่างมากในการ Run ธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้
ฉนั้น ไม่ต้องแปลกใจ ทำไม เว็บไซต์ของคุณ มีค่า Click โฆษณา ที่แพงกว่าเว็บไซต์ของคู่แข่ง

แหล่งอ้างอิงเก่าๆ เกี่ยวกับ Page Load Speed


(Official Google Blog) https://googlewebmastercentral.blogspot.com/2010/04/using-site-speed-in-web-search-ranking.html
(Matt Cutts)https://www.mattcutts.com/blog/site-speed/
http://www.searchenginejournal.com/seo-101-important-site-speed-2014/111924/

Tool > https://developers.google.com/speed/pagespeed/?hl=en
Tool > https://developers.google.com/speed/pagespeed/insights/?url=

https://gtmetrix.com/reports/searchmonopoly.com/JGRTR81S

การเขียนบทความ SEO

การเขียนบทความ SEO – ในแบบที่ถูกต้อง โดยมีหลักการ

งานเขียนบทความทาง SEO เป็นงานที่ผมถนัดมาก เพราะทำความเข้าใจและศึกษามาด้วยประสบการณ์อันยาวนาน การเขียนที่เป็นธรรมชาติ ในมุมมองของ Search Engine และมุมมองของผู้ใช้งาน เพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจในผลลัพธ์ที่ดีกว่า

ก่อนเริ่มศึกษา การเขียนเพื่อ SEO ให้เข้าใจศึกษางานเขียนเพื่อธุรกิจของคุณก่อน

เนื้อหาบทความนี้ ผมจะกลั่นกรองสาระเน้นๆ และเขียนให้กระชับ เพื่อลบคำกล่าวที่พูดถึงเรื่อง Keyword Density และการใช้คำซ้ำๆ ที่ดูเหมือนการ Spam บทความ หรือการทำ Keyword Farming นั้นไม่มีประสิทธิภาพอันใดเลย สิ่งสำคัญคือ Core ของ Business ของคุณ และค่อยๆต่อยอดในแนวคิดของการทำ Relevance ให้เกิดขึ้นทีละน้อยโดยอาศัยเวลาที่เหมาะสม มันเป็นเรื่องปัจจัยของ Trend ของผู้ใช้งาน การผลิตซ้ำๆจากระบบต่างๆ ส่งผ่านเข้าไปสู่ Search Engine เราไม่สามารถควบคุมจากมุมของเราได้เอง แม้แต่ Website ใหญ่ๆ ก็ทำไม่ได้ เนื้อหาที่เขียนมาดีมาก ดีพร้อมเพียงใด ก็ไม่มีอายุที่ยืนนาน มันเสื่อมตามสภาพของ trend ในตลาด มีขึ้นแล้วก็ดับไป

คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการเขียนบทความ SEO

เขามักจะถามกับบ่อยๆว่า Keyword Density มีผลกับการทำอันดับที่ดีใน Google Search Engine หรือไม่ ?
คำตอบ มีทั้งใช่ และ ไม่ใช่
ที่ตอบว่าไม่ใช่ – ผมต้องขออธิบายถึงความเข้าใจผิดๆ หรือความรู้ผิดๆ ของนักทำ Search Engine หลายๆยุคหลายๆรุ่นที่บอกกันปากต่อปาก
ที่มา ตั้งแต่ปี 2006 – ฝรั่งมีความเชื่อว่า การใช้ Keyword ที่เรากะทำเป้าหมายให้ติดอันดับ โดยใส่คำซ้ำๆ อย่างเช่น บริษัทเราขาย “น้ำพริกกะปิ” เราก็จะใส่ Keyword ในหน้า webpage คำว่า “น้ำพริกกะปิ” จำนวนมากๆเข้า 10 – 30 ครั้งใน 1 บทความ ถามคือ มันยังทำงานได้ดีอยู่ไหม ? – สิ่งที่ผมทดสอบมานานแล้ว คือมันทำให้อันดับวิ่งขึ้นมาระดับสูงๆได้ในชั่วระยะสั้นๆเท่านั้น และจะถูกฝังลงในอันดับต่ำๆ อย่างรวดเร็วเช่นกัน

อธิบายเหตุและผล ที่ผมเรียนรู้มาจากการทำ SEO และ ศึกษาเรื่อง Semantic Search Technology ทำให้รู้เรื่องของการทำงานของ Search Engine ที่มีมุมมองแตกต่างจากเราออกไป มนุษย์ มีสมอง ซีกซ้าย ในการวิเคราะห์ จัดลำดับ เรียบเรียงข้อมูล ส่วนสมองซีกขวาเรานั้น สามารถตีความจากความรู้สึก และเห็นภาพกว้างๆได้ ทำให้มนุษย์ มีกับดักในมุมมองในการทำความเข้าใจรูปแบบคิดของ Google Search Algorithm


เทคนิคการเขียนบทความ SEO ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

บทความ SEO เขียนไม่ยาก แต่ต้องคิดแบบต่อเนื่อง

หลักการคิดเรื่องงานเขียนบทความ SEO เหมือนการผลิต TEXT BOOK 1 เล่ม เราต้องเริ่มจากการทำโครงสร้างของเนื้อหาก่อน

คนที่เขียน บทความ SEO อย่าง Effective ที่สุด ก็คือเจ้าของธุรกิจตนเองนั่นเอง ไม่มีใครเขียนได้ดีกว่าผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจนั้นๆ

ผู้ที่จะเริ่มงานเขียน บทความ SEO จะต้องร่างแผนการจัดวางเนื้อหาก่อน ให้ดู Design Wire frame และ โครงสร้างเนื้อหาเว็บ