บริการ การปรับ Page Load Speed ให้กับเว็บ WordPress
ทำอย่างไร ในการปรับ page load speed ให้กับเว็บ wordpress ? (รายละเอียดเชิงลึก)
การปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ WordPress จำเป็นต้องทำหลายขั้นตอน ซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งการปรับแต่งเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ ต่อไปนี้คือแนวทางเชิงลึกและทางเทคนิคเพื่อเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์ WordPress ของคุณ:
(1) เลือก Hosting ที่เหมาะสม
อันดับแรกบริการของเราจะเข้าไปเช็คคุณภาพและประสิทธิภาพของ Hosting ที่คุณใช้งานอยู่
- Managed WordPress Hosting: ใช้บริการ hosting ที่เชี่ยวชาญในการโฮสต์ WordPress เช่น Kinsta, WP Engine, หรือ SiteGround ที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ WordPress โดยเฉพาะ
- VPS หรือ Dedicated Server: หากเว็บไซต์ของคุณมี traffic สูง ควรพิจารณาใช้ VPS หรือ Dedicated Server แทนการใช้ shared hosting
อันนี้คือตัวอย่างลูกค้าที่มาใช้บริการของเรา เรามีการตรวจสอบความเร็วของโฮสให้แก่ลูกค้า – จากตัวอย่าง เราพบว่า โฮสเจ้านี้มีความเร็วที่แย่มาก โฮสช้า และทำให้อันดับ SEO ตกลงมาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราจึงได้ทำการแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้โฮสที่มีคุณภาพสูงกว่า
การเลือกโฮส เรามีแหล่งที่สามารถเช่าโฮสคุณภาพสูงตามท้องตลาดให้คุณเลือก
(2). ใช้ Content Delivery Network (CDN)
- CDN Integration: ใช้บริการ CDN เช่น Cloudflare, KeyCDN, หรือ StackPath เพื่อลด latency โดยการกระจายเนื้อหาไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้กับผู้ใช้มากที่สุด
- DNS Caching: ใช้ DNS ที่รวดเร็วและมีการ caching อย่าง Cloudflare DNS เพื่อเร่งการตอบสนอง DNS
(3). เปิดใช้งาน Caching
- Page Caching: ใช้ปลั๊กอิน caching เช่น WP Rocket, W3 Total Cache, หรือ LiteSpeed Cache เพื่อลดการโหลดซ้ำของหน้าเว็บ
- Object Caching: เปิดใช้งาน object cache โดยใช้ Redis หรือ Memcached เพื่อเร่งการเข้าถึงข้อมูลที่ซ้ำ ๆ
- Browser Caching: กำหนด header เพื่อ cache ไฟล์ต่าง ๆ ใน browser ของผู้ใช้ เช่น CSS, JS, และภาพ
(4). Optimize Database
- Database Cleanup: ลบ post revisions, spam comments, และข้อมูลที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ โดยใช้ปลั๊กอินเช่น WP-Optimize หรือ Advanced Database Cleaner
- Indexing & Query Optimization: ตรวจสอบให้แน่ใจว่า database มี indexing ที่ถูกต้องและเพิ่มประสิทธิภาพ query โดยเฉพาะหากคุณใช้ custom queries
- ใช้ InnoDB: ใช้ InnoDB สำหรับทุกตารางใน database เพราะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า MyISAM
(5). Minify and Combine Files
- CSS/JS Minification: ใช้ปลั๊กอินเช่น Autoptimize, WP Rocket, หรือ W3 Total Cache เพื่อบีบอัดและลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript
- File Concatenation: รวมไฟล์ CSS และ JavaScript หลายไฟล์ให้เป็นไฟล์เดียวเพื่อลดจำนวน HTTP requests
(6). ใช้ HTTP/2 และ QUIC
- Enable HTTP/2: ตรวจสอบว่า server ของคุณรองรับ HTTP/2 ซึ่งช่วยให้สามารถโหลดไฟล์ได้หลายไฟล์พร้อมกันและเร็วขึ้น
- Use QUIC: หากใช้ CDN เช่น Cloudflare ให้เปิดใช้งานโปรโตคอล QUIC เพื่อเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อที่ไม่เสถียร
(7). ใช้ PHP Version ล่าสุด
- PHP Version Update: ตรวจสอบและอัปเดต PHP ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด (เช่น PHP 8.0 ขึ้นไป) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล
- OPcache: เปิดใช้งาน OPcache เพื่อเก็บแคชของ bytecode PHP และลดเวลาในการคอมไพล์สคริปต์
(8). ลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น
- Audit Plugins: ตรวจสอบปลั๊กอินที่ติดตั้งอยู่และปิดการใช้งานหรือลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น
- Use Lightweight Plugins: เลือกใช้ปลั๊กอินที่มีน้ำหนักเบาและมีการ optimized อย่างดี เพื่อลดการใช้ resource ของ server
(9). Gzip Compression
- Enable Gzip: เปิดใช้งาน Gzip compression ใน server เพื่อบีบอัดไฟล์ก่อนส่งไปยัง browser ซึ่งจะช่วยลดขนาดไฟล์และเวลาโหลด
(10). การปรับแต่งธีม
- ใช้ธีมที่ Optimize: เลือกใช้ธีมที่มีการ optimize มาอย่างดี เช่น GeneratePress, Astra, หรือธีมที่ออกแบบมาให้มีความเร็วสูง
- ลดการใช้งาน Animation และ Script หนักๆ: ใช้ Animation อย่างจำกัดและหลีกเลี่ยงการใช้ Script ที่มีขนาดใหญ่หรือซับซ้อน