การทำ SEO สามารถแบ่งสายงานได้ 4 งานใหญ่ๆ ดังนี้
- 1. On-Page SEO
- 2. Off-page SEO
- 3. Technical SEO
- 4. Content Marketing
ในส่วนของ Technical SEO เป็นกระบวนการทำงาน ที่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค มีความรู้เรื่องการเขียน code หรือ ใช้โปรแกรมเม่อที่เป็นสาย Optimize code
Technical SEO คืออะไร ?
เนื้องานหลักๆ ของสาย Technical SEO มักจะเป็นการปรับแต่ง Code ซึ่งสายงานนี้ถูกแยกออกมาจากงานด้าน On-Page SEO ซึ่งมือใหม่อาจจะสับสนระหว่างเส้นแบ่งของ 2 สายงานนี้
โดย Technical SEO จะเน้นการทำ SEO เพื่อเพิ่ม Performance ให้แก่เว็บไซต์ ทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์เรามากขึ้น โดยหลักๆ เราจะใช้ SEO Developer หรือ Front-End developer ที่มีความเชี่ยวชาญในการปรับแต่งเว็บไซต์ทางเทคนิค
การทำ Technical SEO งานหลักๆ จะเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงเว็บกับ Google Search Engine โดยใช้ความรู้เรื่องการ Crawling และ indexing โดยมีความเข้าใจการทำงานของ Google Bot หรือ เว็บ Crawler เพื่อวัตถุประสงค์ให้เว็บมีการพัฒนาในการทำอันดับได้ดีขึ้นบนผลลัพธ์ของ Search Engine โดยเฉพาะ Google
ทำไม Technical SEO จึงสำคัญ ?
ในยุคการทำ SEO สมัยใหม่ (Modern Age) กระบวนการทำ Technical SEO ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องเริ่มทำตั้งแต่การทำเว็บ โดยกระบวนการนี้ จะทำในช่วงที่เริ่มต้นทำเว็บ หรือทำเว็บเสร็จไปบางส่วนแล้ว (First Deploy) ซึ่งกระบวนการนี้ควรทำหลังจากที่เราได้ ออกแบบเนื้อหา และจัดทำ SEO Wireframe
ซึ่งความสำคัญของเนื้องาน Technical SEO คือทำให้ web render ได้ดี Google bot ชอบ เราจะได้คะแนนพิเศษ หาก content เราเข้าข่ายเป็น useful content โดยเจ้าของเว็บส่วนใหญ่นั้น มักจะมองข้ามกระบวนการ Technical SEO ลงไป และเพิกเฉยต่อเนื้องานนี้ จึงทำให้ผลลัพธ์ในการจัดอันดับ ไม่ดีเท่าที่ควร
เป้าหมายของ การทำ Technical SEO
เป้าหมายหลัก คือเรื่องการปรับ Speed rendering ของเว็บไซต์ของเรา โดยเราสามารถใช้เครื่องมือ Google Lighthouse หรือ GTMatrix ในการตรวจวัด performance ของเว็บเราได้ โดย Google Lighthouse จะมี Metrics score โดยเรียกว่า Core Web Vitals