เฉลยแนวโน้ม SEO ปี 2017 และ การทำเนื้อหา ปี พ.ศ. 2560

seo-trend-2017

ในปี 2017 นี้ ได้มีการสรุปเรื่องการพัฒนา SEO ให้แก่เว็บ แต่ละสำนัก ของต่างประเทศ และมองเห็นว่า นักการตลาดสาย Content ของไทย ก็นำมาโปรโมตให้พวกเราได้เข้าถึงและศึกษากัน แต่บทความนี้ ผมได้เขียนสรุปในแบบของ Search Monopoly เอง โดยเราจะรู้เท่าทัน กลยุทธ์ของการใช้งาน Trends และนำ Trend มาทำการตลาดออนไลน์ ทางด้าน SEO และกล่าวถึง สิ่งที่พวก เมืองนอก เขาประชุมแล้วมาสรุปเป็นแนวโน้มจากแหล่งต่างๆ ซึ่งผมจะ อธิบาย และ กล่าวระบุเองว่า ตัวไหนที่ น่าสนใจ และ อธิบายเหตุผลว่าทำไม เขาถึงจับมาเป็นแนวโน้มที่เราต้องนำมาวางแผนการพัฒนาอับดับ โดยคิดเชิงกลยุทธ์ แต่ตอนท้ายบท เราจะมาเฉลย เทคนิคที่พวกนักทำการตลาดแบบ trend เอามาใช้ทำ search volume เรียกคนเข้าเว็บของเขาเอง — สุดท้าย เราจะกล่าวสรุป ในเรื่องที่ควรระวัง รู้เท่าทัน และ กลับมาที่จุดหลักของการพัฒนา แบบไม่หลงทางกันต่อไป

สรุป Trend SEO 2017 จาก Link Assistant

www.link-assistant.com
ที่มา
http://www.link-assistant.com/news/smx-east-2016-recap.html

ทาง “Link Assistant” ได้กล่าวถึง Most Trusted SEO events in USA คืองาน ” SMX East conference”

ขอเสริมนิดนึง “Most Trusted SEO” เป็นเรื่องที่พวก SEO Agency มักอวยกันเองครับ อย่าไปเชื่อมาก 😀

ได้กล่าว ถึง 5 ปัจจัย ซึ่งผมมองว่าเป็น เรื่องของ Technical ล้วนๆ
ไม่ค่อยเกี่ยวกับการวาง กลยุทธ์ทาง Business.

 

อันนี้ผมอธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ครับ เรื่อง 5 ปัจจัยที่เขาได้กล่าวมานั้น เป็นเรื่องสำหรับเว็บที่มี Authority ที่ดีแล้ว หรือเว็บที่ติดตลาดแล้วนั่นเอง

ส่วนใครที่ยังเพิ่งเริ่มทำเว็บ แต่มาอ่าน Trend ในปี 2017 นี้ ผมคิดว่าผู้อ่าน ต้อง กลับไปที่จุดการทำ Fundamental SEO ให้ชัดเจนก่อน

หรือไป Focus ในเรื่องของ การทำเนื้อหา การตลาดออนไลน์ เชิงกลยุทธ์

ในเรื่องของ 5 ปัจจัย ที่ Link Assistant ได้สรุปรวบมาให้คือ

1. Google’s AMP
2. 301 Redirection
3. HTTPS
4. Citation สำหรับ Local Business
5. Optimizing Voice Search

จาก 1 ใน 5 ที่ผมสนใจมากๆ และทำไปบ้างแล้วคือเรื่องของ Google’s AMP โดยเว็บ Search Monopoly ได้ใช้ Plat form ของ WordPress จึงได้ใช้ Plugin ง่ายๆ ประทังไปก่อน ลองค้นหาคำว่า “AMP for WP” ใน Google นะครับ

amp google mobile plugin wordpress

สำหรับผู้ที่ใช้งาน WordPress อันนี้จะเป็นเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้งานเว็บ WordPress ของเรา บน Mobile ครับ เป็น Issue หนึ่งของการทำ SEO สาย Technique – Automatically add Accelerated Mobile Pages

การนำ AMP มาประยุกต์ในในกลยุทธ์ SEO

ได้ในเรื่องของ UX. usability ดีขึ้น – เดี๋ยวนี้ SEO ต้องรู้การทำ UX ครับ ไม่ใช่การดันอันดับ
พวกสาวก Backlink คง งง กันอีก เพราะอันดับที่ดี มาจากการขยายพื้นที่การใช้งานที่ดีกว่า และ ข้อมูลที่ Useful มากกว่า
เรื่อง Backlink กลายเป็นของเด็กเล่น หาก SEO ไม่มี Know How เรื่องการทำ UX ที่ดีครับ

พูดง่ายๆ Google แกดัดหลังคนทำ SEO สายดันอันดับครับ – และโชคดีที่ผมเป็น SEO สายทำโครงสร้าง + Usability เนื้อแท้และดั้งเดิม จึงไม่กระทบ เพียงแต่ต้องทำงานหนักขึ้นและสนุกกับการทำงานที่ท้าทายมากขึ้น แต่ข้อเสียคือ “ลูกค้า ที่มีความเชื่อแบบผิดๆ” แบบนี้คุยยากครับ และไม่อยากรับคุยใดๆเลย

AMP Cache

ภาพจาก :
http://www.link-assistant.com/images/news/smx-east-2016-recap/screen-02.png

หลังจากเราได้ลอง ติดตั้ง AMP แล้วทาง LINK ASSIST ได้ให้ข้อมูลทางเทคนิค ให้เราเริ่มทำ
“Enable AMP stats in your Google Analytics account.”
อันนี้ผมยังไม่ได้ทำ เดี๋ยวมีเวลาอ่าน แล้วมาเขียนบทความแชร์ไว้ในคราวหน้านะครับ ส่วนตอนนี้เอง เว็บผมเริ่มเห็น ISSUE บางอย่าง จากการติดตั้ง AMP ทาง Google Search Console แล้วครับ แต่ไม่มีเวลาแก้ไขตรงนี้มากนักครับ

แต่บอกได้เลยว่า เว็บผมยังแย่และไม่เหมาะสำหรับ Mobile ที่มี Screen ขนาดเล็ก และไม่เกิดการแสดงผลในการจัดอันดับของ Google ด้วยครับ

ปี 2017
[MOZ] Mobile-Only, Mobile Index First – ทางเราเห็นด้วยกับการปรับปรุง On-page ให้เป็น Mobile friendly และเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นในปี 2017 ซึ่ง อันดับที่ติดดีใน Google บน Desktop จะแยกการทำ Index กับ Mobile Device อย่างชัดเจน จนเกิด รายงานบน Search Console อย่างเห็นได้ชัด และ Impression ที่ไม่ได้ทำ Mobile-Friendly ทำให้ CTR ตกลง และ Click ต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งทาง Search Monopoly ก็ได้รับผลกระทบนั้นเช่นกัน
[Recommendation] ให้จัดทำ AMP ช่วยให้การทำงานหน้าเว็บทาง Mobile เร็วขึ้น ซึ่งทางเราพบว่า การพัฒนาเว็บเพจหน้าสำคัญ ทำให้ Bounce Rate ลดลงมากๆและทำอันดับ site wide ได้ดีกว่า

[MOZ] Penguin 4.0 Update. ทำให้ปี 2017 การทำ Backlink ยากมากๆ ซึ่ง บริษัทรับทำ SEO สาย PBN และ Spam Backlink แทบทำอันดับไม่ได้ และทำได้จริงก็ติด Keyword ได้น้อย ระวังไว้ด้วยครับ ยิ่งทำ Backlink ด้อยคุณภาพ การทำอันดับยิ่งแย่ลง และไม่มีผลของการเติบโตทาง Organic Traffic. ให้ระวังการใช้งาน PBN หรือ Link Builder ให้มากๆครับ

[Moz] Voice search ดูแล้ว การใช้งานยังไม่เป็นผลที่น่าประทับใจ กลายเป็น trend ที่แป้กมากกว่า เขา predict มาว่า Voice Search จะมาแรง แต่ทาง Search Monopoly ยังมองว่ามันห่างไกลกับความเป็นจริงมากนัก โดยเฉพาะภาษาไทย คนไม่ค่อยค้นหาทางเสียง แต่มองว่า หาก Google เข้าใจเรื่อง Data และเชื่อมโยงกับเสียง หากทำได้แล้ว พวก Data Markup จะมีผลสูงมาก ควรทำเตรียมเอาไว้

[Moz] Machine and Deep Learning – อันนี้เริ่มมีผลแล้ว แต่ละ Device แต่ละเครื่อง ผลการจัดอันดับทำออกมาไม่เหมือนกัน หากลอง Refresh กด F5 ผลการค้นหาเราอาจหายไปได้ ฉนั้นปัจจัยนี้มีผลมากๆต่อการทำ Organic Traffic และยิ่งทำให้ การสร้างเนื้อหา จำนวนมากๆ เริ่มมีผลมากขึ้น เนื่องจาก ต้องไปสร้าง High CTR จาก Long-Tail Keyword หรือทำให้เว็บเป็น Niche และ เพิ่ม Rate ของ User retention ให้มากขึ้น

 

 

“Seasonal Keywords”

ผมขอเฉลยมายากล อีกอัน ที่นัก “Content Marketing” นิยมนำมาเล่น คือการปั้น Story มาเล่นพวก Seasonal Trend
เป็นกลยุทธ์ อันหนึ่งที่ง่าย กับการทำให้ Brand ติดตลาด อย่างรวดเร็ว

ความจริงแล้ว LOGO Search Monopoly size 45pxSearch Monopoly ไม่อยากมีแผนการดักคนเข้าแบบ Seasonal แบบนี้ครับ เพียงแต่ เห็น หลายๆ เจ้าเล่นกัน เลยอยากเขียนบทความนี้มาเตือนสติให้รู้เท่าทันเกมส์ ของกลยุทธ์การทำ Content Marketing เท่านั้นเอง และในบทความนี้ จะมีสรุปในช่วงท้ายๆ ว่า Trend 2017 นี้ท่านควรทำอะไรกันแน่
และหากท่านยังไม่เหมาะที่จะเริ่มจาก Trend 2017 ท่านเองควรจะไปเริ่มต้นเรียนรู้ที่ใดก่อนต่างหาก อันนี้สำคัญกว่า

การวิ่งตาม Trend ที่ชาวบ้าน ปล่อยออกมา นั่นคือ ท่านกำลังวิ่งตามเกมส์คนอื่นที่เขาปั่นกระแสให้คุณวิ่งแบบหลงทิสหลงทางก็เป็นได้

อยากให้ผู้อ่านคิดดูครับ

มีคนสนใจ พัฒนาการทำอันดับทาง SEO อยู่แล้วประมาณ 200,000 คน
Keyword รายปี มาการเติบโต 2.5%

นั่นหมายถึง 1 story ที่หากินได้รายปี มีมูลค่ามาก

นักการตลาดออนไลน์อาจ Plan เป็นช่วง Seasonal Trend ได้ครับ เช่นปี 2017 นี้

ต้องมีคนสนใจ ทำ SEO แล้วเริ่มมองหา Trend การทำ SEO ปี 2017 ราวๆ 200,000 คน

และ ปีหน้า ต้องมีคนเข้ามาค้นหา อีก 2.5% เติบโตแนวนี้ไปเรื่อยๆ

นั่นหมายความว่า Keyword แบบ Seasonal
เช่น “SEO Trend” + {Year}

“SEO Trend 2017” น่าจะมีผู้อ่านทั้งปี 200,000 คน Retention รายปี 50% = 100,000
“SEO Trend 2018” น่าจะมีผู้อ่านทั้งปี 242,000 คน Retention รายปี 50% = 110,000
“SEO Trend 2019” น่าจะมีผู้อ่านทั้งปี 266,200 คน Retention รายปี 50% = 121,000
“SEO Trend 2020” น่าจะมีผู้อ่านทั้งปี 292,820 คน Retention รายปี 50% = 133,100

ตาม แผนภูมินี้เลยครับ

user-retention-50-seasonal-trend

ผมจะมาเฉลย โดยพิจารณาจาก กราฟ Google Trends แล้วท่านจะ ร้อง อ๋อ โดยทันที

การทำ “Seasonal Trend Keywords” เหมาะกับอะไร ?

เหมาะกับ สินค้า หรือ บริการที่มี “Search Volume” ที่เป็นช่วงหนึ่ง หรือเป็น Season นั่นเอง

เช่น หากเป็น การท่องเที่ยว
10 สถานที่ ท่องเที่ยว ปีใหม่ ที่น่าไป ปี 2560
10 สถานที่ ท่องเที่ยว ปีใหม่ ที่น่าไป ปี 2561
10 สถานที่ ท่องเที่ยว ปีใหม่ ที่น่าไป ปี 2562

Volume พวกนี้เป็น แสนนะครับ มีคนเขียนดักไว้ หรือทำโครงการกันเป็นปีๆ แล้วไปปล่อยช่วงสิ้นปี

พวกนักจัดการดีๆ จะวางแผนเล่นตลาด Seasonal trend ก็จะหา trend รายปี ตลอดทั้งปีมาเล่น และรับงานแบบ short preriod แบบกระจายครับ

ถามกลับว่า ท่านผู้ประกอบการ SME ที่เข้ามาเรียนรู้ ท่านเองนั้น มี Keyword แบบ Seasonal trend หรือยัง ?

มีการทำการวิจัย กลยุทธ์และตลาด ที่ท่านควรเข้าไปมีส่วนแบ่งใน Seasonal trend แบบนี้มากน้อยเพียงใด

ในเว็บ FOBES ก็เช่นกัน ได้สรุปมาคล้ายๆกันครับ เป็นตัวจุดกระแสเลย

http://www.forbes.com/sites/jaysondemers/2016/11/09/7-seo-trends-that-will-dominate-2017/#af786f652308

เขาก็สรุปมาคล้ายๆ กับ Link Assistant คือเรื่องต่างๆ

1. The Rise of Accelerated Mobile Pages (AMPs).
2. The Rise of “Dense” Content.

ประเด็นที่ผมเห็นว่าเขามองต่างคือข้อที่ 3 คือเรื่อง “Google RankBrain”
3. Machine Learning Will Change the Way the Algorithm Works.

เป็น “important factor in the ranking algorithm”มันคืออัลกอฯ ที่คิดคำนวณปัจจัยการทำอันดับใน Google Search Engine จากเรื่องของ Content และ Links
และ Keypoint อันสำคัญที่ผมเห็นใน WikiPedia เขียนสรุปมาให้ เขาได้อธิบายว่า “Never Before Seen Search Queries” ผมเดาๆ กึ่งๆใบ้ว่า Google อาจ Learn user Behavior ระหว่างการค้นหา ในแต่ละบุคคล และ เรียนรู้เข้าใจ Mind ของบุคคลนั้นๆ ที่ค้นหา จากพฤติกรรมการค้นหา กลุ่ม Content ในระดับปักเจก ซึ่งที่ใบ้มานี้ ผมเอง กุมความลับอันนี้มานานมากครับ เรื่อง Semantic Search และเรื่องของ การทำ DATA Input ที่ทางวงการเรียกว่า SEO Text โดยเราจะเน้นการวิจัยข้อมูลเชิงลึก ที่เรีกว่า Zipf’s LAW ซึ่งจะมาเป็นหลักประยุกต์ เรื่องของการทำ “Content is King” ของแท้ๆ ในแบบ การทำข้อมูลเชิงโครงสร้าง

พูดให้เห็นภาพง่ายๆ

คนที่จบ ด๊อกเตอร์ทางด้านเคมี จะมีชุดรูปแบบการค้นหาอีกแบบ
กับคนที่เป็นนักแสดง ก็จะมีชุดการค้นหาอีกแบบ

นี่แหละ เริ่มเข้ามาสู่ ระบบคิดของ Google Search
คนเรา ต้องการผลลัพธ์ในการแสดงผลที่แตกต่างกัน เกิดเป็น Persona หรือ user identity

คนสองคน ค้นหา คำว่า “Movies” คำเดียวกัน อาจได้ผลจัดแสดง ใน Position ต่างๆ ที่แตกต่างกัน

Term แรก Movie อาจจะชัด แต่ผลการค้นหา ตำแหน่ง ที่ 4, 5, 6, 7, อาจแสดงรูปแบบ “Result” ที่แตกต่างกัน

นั่นคือความยากของการทำ SEO ในยุคหลังปี 2017
เนื่องจากกว่า นวตกรรมเรื่องของ Micro Moment เริ่มเข้ามาแทน และ Google Search จะเข้าใจในตัวบุคคลมากขึ้น

คนที่จบ ด๊อกเตอร์ทางด้านเคมี อาจจะชอบดูหนังและอยากดูหนัง และ สนใจเรื่องหนัง Sci-Fi
แต่คนที่เป็นนักแสดง อาจชอบอีกแบบ หรืออาจกำลัง ศึกษา งานแสดง ของ ปรัชญา หรือ เทคนิคอะไรลึกๆของเรื่องการสร้างหนัง

ฉนั้น ผลการแสดง อาจออกมาไม่เหมือนกัน จากการเก็บพฤติกรรมการค้นหา และ CTR แต่ละ Page ที่แตกต่างกัน

ผมไม่ได้กล่าว ลอยๆ ไอ้ Metric นี้ มันมีมาแล้วใน Google Analytics อาจเป็นตัวยืนยัน ในสมมติฐานที่ผมได้กล่าวไว้ใน เนื้อหาบทนี้

ฉนั้นแล้ว การทำ SEO ในปี 2017 ไม่ใช่การสร้าง Backlink แล้ว Key Focus ก็ต้องกลับมาที่ UX เป็นปัจจัยหลักๆ และเรื่องของการพัฒนา Content ให้มี Theme ของมัน ทุกๆส่วนประกอบ อาทิ Inputs, Quality Control, โครงสร้าง การแสดงเนื้อหา ชุดขอบเขตของเนื้อหา แหล่ง Citation ที่ได้เข้ามา

และความเป็น Dynamic ของ แหล่ง Citation เองก็ตาม จะเป็น key ในการคำนวณ การแสดงผลบนหน้าจัดอันดับของเว็บเรา

การจ้างทำ SEO แบบติดที่ 1 กำลังทำลาย ธุรกิจของคุณเองด้วยซ้ำ เพราะแหล่ง Citation ก็จะทำลาย รูปแบบการแสดงผลที่สมควรไปแสดงให้ตรงจุด

ตามที่ Trend SEO ในปี 2013 ได้กล่าวไว้ว่า “SEO is Dead” Long live the “Content” ซึ่งมันมาจริงๆ และพวก บริษัทรับทำ SEO ก็กำลัง ดิ้นแบบเฮือกสุดท้าย เพราะ PBN เหล่านั้น ไม่ตอบโจทย์ในการทำ SEO สำหรับยุคต่อๆไป

LOGO Search Monopoly size 45pxแนวทางการทำ SEO ในปี 2017 ในแบบฉบับ Search Monopoly

Market Retentions

ประเด็นแรกที่นักการตลาดออนไลน์ ควรจะคิด คือเรื่องการเขียนเนื้อหา ที่มี sense ของการ commit ให้ user กลับเข้ามาอ่านใหม่

Fact Based Oriented – ขายของแบบไม่ขาย คืองาน SEO

มีนักธุรกิจท่านนึง กล่าวไว้โดนใจผมมากๆ คือ การให้ข้อมูลที่ไม่ใช่ Hard Sale แต่สำคัญคือเข้าไปนั่งอยู่ในใจของผู้ใช้งานเว็บ การตลาดออนไลน์ ในยุค 4.0 และปี 2017 คือการ แก้ไขปัญหา ของการทำเนื้อหา ที่เราหลงผิดมานาน ตั้งแต่สมัย SEO เริ่มดังในไทย เนื่องจาก นักการตลาดออนไลน์ ให้ความสำคัญกับการทำอันดับที่มากเกินไป และได้ focus เป้าหมายผิดๆ จนไม่เกิดแรงกระเพิ่ม ให้ผู้ใช้งานมองเห็นถึงคุณค่าที่จะต้องเสียเวลาเข้ามาอ่านเรียนรู้ หรือค้นหาอะไรใน content ในเว็บนั้นๆ ส่วนใหญ่มีแต่กิจกรรมขายของในเว็บไซต์ของตนเองเท่านั้น

การทำให้ content สร้าง community

เรามีเว็บ ไม่ได้หมายถึง จะทำให้คุณอยู่เพียงตัวคนเดียว การมีเว็บ ไม่สามารถขายของด้วยตัวมันเองได้ — สิ่งสำคัญที่ Search Monopoly เห็นเป็น key Success คือการทำ content เชิงการสร้าง community ด้วย นั่นคือ งานที่มาจากแนวคิดของการประชาสัมพันธ์นั่นเอง

มีความสนุกกับการทำเนื้อหา การทำ SEO ควรมาจากการให้

หลังจากเขียนอธิบายเรื่อง ข้อมูลเชิง FACT ว่าเป็นหัวใจของการทำการตลาดออนไลน์ — การทำ Brand ในปี 2017 คือการสร้าง Community และความสนุกกับการให้ความรู้ผู้เข้ามาอ่าน

ถ้าคุณผู้อ่าน ลืม และเลิกตามกระแส Trend ที่พวก SEO Agency เรียกร้องกันมาทุกปี แล้วกลับมาตั้งหลักการทำ SEO ในรูปแบบตนเอง โดยประสาน แนวคิดที่พวกเขาเอามาแชร์เหล่านั้น แต่ไม่จำเป็นต้องวิ่งตาม Trend ปี 2017 ที่เขาสรุปมาจากแหล่งต่างๆ อย่างรีบด่วน ทาง Search Monopoly เองก็มองเพียงว่า Trend Topic ที่เขาได้กล่าวสรุปมาให้เป็นเพียง Issue Topic ในเรื่องของการทำ Quality Control หรือเป็นแค่ SEO Policy เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า มีไว้ก็ได้ หรือควรจะมีไว้ กลับมาต้องมาที่ SEO Operation Plan ว่าเราได้ระบุอะไรลงไปไว้แล้ว เป็นทิศทางที่ชัดเจน เว็บบางคน ยังไม่ผ่านการพัฒนาแผนการทำ SEO ตั้งแต่ Policy ที่เขาสรุปมาตั้งแต่ 2010 แต่ดันจะกระโดดมาทำ trend 2017 อันนี้ผมมองว่า คุณค่อนข้าง Failed เลยทีเดียวครับ

อย่ากระโดดไปกระโดดมาครับ ทำ SEO Issue ให้ผ่าน 100 สิ่งแรกก่อนให้ได้ครับ จึงจะมองมองอันอื่น และ 1 ใน 100 ที่ผมแนะนำ และถามย้ำๆ คือ

  • Site Structure ดีหรือยัง ?
  • อีกอันหนึ่งคือ Citation Authority คุณแข็งแรงมากพอหรือยังครับ ?

ถ้า 1 ใน 2 อันนี้ ยังไม่แข็ง อย่าริอาจ อ่านบทความนี้ครับ

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*